สรุปTense
1. การแสดงสถานการณ์ในอดีต (Past tense):
ในภาษาไทย เราใช้ Tense อดีตเพื่อแสดงความเกิดขึ้นในอดีต ตัวอย่างประโยคอดีตคือ “เมื่อวานผมไปชมดอกไม้” หรือ “ฉันกำลังเดินทางมาที่นี่ตั้งแต่สามเดือนที่แล้ว” เวลาแสดงสถานการณ์ที่ผ่านมาที่แน่นอนจะต้องใช้ Tense อดีต
2. การแสดงสถานการณ์ในปัจจุบัน (Present tense):
ในภาษาไทย เราใช้ Tense ปัจจุบันเพื่อแสดงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ตัวอย่างประโยคปัจจุบันคือ “ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ตอนนี้” หรือ “เขาอยู่ที่โรงเรียน” เราใช้ Tense ปัจจุบันเพื่อแสดงความเป็นจริงในปัจจุบัน
3. การแสดงสถานการณ์ในอนาคต (Future tense):
ในภาษาไทย เราใช้ Tense อนาคตเพื่อสื่อถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตัวอย่างประโยคอนาคตคือ “พรุ่งนี้ฉันจะไปแข่งขันกีฬา” หรือ “เมื่อวันหน้าเขาจะมาเยี่ยมชม” เราใช้ Tense อนาคตเพื่อแสดงความเป็นไปตามแผนในอนาคต
4. การใช้ Tense ในประโยคบอกเล่า:
ในการบอกเล่าเรื่องราว เราใช้ Tense อดีตเพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ส่วนเรื่องสั้นๆ เราใช้ Tense ปัจจุบันเพื่อให้เกิดความสนุกสนานและน่าติดตาม ตัวอย่างประโยคคือ “ครั้งนี้ในปีที่แล้วฉันไปเที่ยวที่ภูเขา” หรือ “วันนี้ฉันไปรับเพื่อนที่สนามบิน” เราใช้ Tense อดีตเพื่อให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านรู้สึกเหมือนกำลังประสบกับเหตุการณ์นั้น
5. การใช้ Tense ในประโยคคำถาม:
เมื่อเราต้องการถามเกี่ยวกับสถานะหรือข้อมูลในเวลาต่างๆ เราใช้ Tense ของประโยคคำถามที่เหมาะสม เช่น “คุณไปเที่ยวที่ไหนในสงครามโลกครั้งสอง?” หรือ “เขาจะไปแข่งขันกีฬาหรือไม่?” เราใช้ Tense เพื่อสื่อถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปหรือจะเกิดขึ้นในอนาคต
6. การใช้ Tense ในประโยคเงื่อนไขและคำหวัง:
ในภาษาไทย เราใช้ Tense เงื่อนไขเพื่อสื่อถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่มีเงื่อนไขที่กำหนด เช่น “ถ้าฉันมาทันเวลา พ่อจะไปเที่ยวด้วย” หรือ “ถ้าวันฝนยังตก เราอาจจะไม่ได้ไปเที่ยว” เราใช้ Tense เงื่อนไขเพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตบนโอกาสที่มีเงื่อนไข
7. การใช้ Tense ในประโยคเสมอภาค:
ในภาษาไทย เราใช้ Tense เสมอภาคเพื่อแสดงความจริงที่เราเชื่อมั่นว่าเป็นจริงตลอดเวลา ตัวอย่างประโยคคือ “น้องสาวของฉันอยู่ในเมืองเสมอ” หรือ “ฉันมักตื่นขึ้นมาเช้าเสมอ” เราใช้ Tense เสมอภาคเพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่สมควรเกิดขึ้นตลอดเวลาหรือเป็นความจริง
8. การใช้ Tense ในประโยคคำสั่ง:
ในภาษาไทย เราใช้ Tense คำสั่งเพื่อให้คำสั่งการกระทำ เช่น “คอยอยู่เฉยๆ” หรือ “จงผ่อนคลาย” เราใช้ Tense คำสั่งเพื่อให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านทำตามคำสั่งในประโยค
9. การใช้ Tense ในการเล่าเรื่องสำหรับความบันเทิง:
ในเรื่องราวที่เป็นเพลงหรือนิยาย เราใช้ Tense ที่เหมาะสมเพื่อสร้างอารมณ์และความรู้สึกให้กับผู้ฟังหรือผู้อ่าน ตัวอย่างการใช้ Tense ในการเล่าเรื่องสำหรับความบันเทิงคือ “เขานั่งมองหน้าต่างออกไป แล้วเขาคิดถึงเธอ” หรือ “ในหมู่บ้านที่นี่ เรากำลังร่างหนังสือ” เราใช้ Tense เพื่อสร้างความน่าสนใจและความสมบูรณ์ในเรื่องราว
10. การเลือกใช้ Tense ให้เหมาะสมในเนื้อหาที่เขียน:
เมื่อเราเขียนเนื้อหาใดๆ เราต้องรู้ว่า Tense ใดที่เหมาะสมกับเนื้อหาดังกล่าว จากนั้นเราต้องการใช้ Tense นั้นอย่างถูกต้องในประโยคของเรา เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและนำไปใช้ได้
ในสรุป Tense ในภาษาไทยมีหลายรูปแบบและมีความหลากหลายในการใช้งาน เราใช้ Tense อดีตเพื่อแสดงสถานการณ์ในอดีต Tense ปัจจุบันเพื่อแสดงสถานการณ์ในปัจจุบัน Tense อนาคตเพื่อแสดงสถานการณ์ในอนาคต โดยการใช้ Tense นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของประโยค เช่น การบอกเล่า เงื่อนไขการใช้งาน คำสั่ง และการเล่าเรื่องสำหรับความบันเทิง อีกทั้งเราต้องใช้ Tense ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เราเขียน
12 Tenses ครบในคลิปเดียว! | เรียน Grammar ภาษาอังกฤษฟรี กับครูดิว
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: สรุปtense ไฟล์ สรุป 12 Tense, tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง, ตารางสรุป tense pdf, โครงสร้าง Present perfect continuous tense, present perfect tense โครงสร้างประโยค, Tense คือ, tense ตัวอย่างประโยค, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ สรุปtense
หมวดหมู่: Top 44 สรุปTense
12 Tense มีอะไรบ้าง
In the Thai language, as in any other language, verb tenses play a crucial role in expressing different times, actions, and states. The proper use of verb tenses is essential for effective communication, as it provides clarity and context to your sentences. Thai grammar features a wide range of tenses to accommodate various situations, making it imperative for learners to grasp these concepts thoroughly. In this article, we will explore the 12 tenses in Thai, providing a comprehensive guide to their forms, usage, and examples.
1. ปัจจุบัน (Present Tense)
The present tense in Thai is used to talk about actions that are happening now or are habitual. It is the simplest tense, with no conjugation or change in the verb form. Consider the following sentence:
ฉันกินข้าว (chăn gin kâao) – I eat rice
2. อนาคตกาล (Future Tense)
The future tense is used to express actions that will happen in the future. The word “จะ” (jà) is often placed before the verb to indicate this tense. For example:
พรุ่งนี้ฉันจะไปเที่ยว (phrûng-níi chăn jà bpai thîao) – Tomorrow, I will go sightseeing
3. อดีตกาล (Past Tense)
The past tense is utilized to describe actions that have already occurred. To mark past tense in Thai, the word “ได้” (dâi) is placed before the verb. For example:
เมื่อวานฉันได้ไปเที่ยว (mûea-waan chăn dâi bpai thîao) – Yesterday, I went sightseeing
4. ปัจจุบันกาลบกพร่อง (Present Continuous)
The present continuous tense is used to depict actions that are happening at the moment of speaking. To form this tense, the words “กำลัง” (gam-lang) or “กำลังจะ” (gam-lang jà) are placed before the verb. For example:
เขากำลังดูหนัง (khăo gam-lang duu năng) – He is watching a movie
5. อนาคตกาลกำลัง (Future Continuous)
The future continuous tense is utilized to express actions that will take place in the future and will be ongoing. Just like the present continuous tense, the words “กำลังจะ” (gam-lang jà) are placed before the verb. For example:
อีก 30 นาทีเขากำลังจะมา (ìk 30 naa-thîi khăo gam-lang jà maa) – He will be coming in 30 minutes
6. อดีตกาลกำลัง (Past Continuous)
The past continuous tense is used to describe actions that were ongoing in the past. The words “กำลัง” (gam-lang) or “กำลังจะ” (gam-lang jà) are placed before the verb. For example:
เมื่อวานเขากำลังจะมา (mûea-waan khăo gam-lang jà maa) – Yesterday, he was about to come
7. ปัจจุบันกาลเดียวกัน (Present Perfect)
The present perfect tense is used to express actions that started in the past and continue until now. The word “ได้” (dâi) is placed before the verb to indicate this tense. For example:
ฉันได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว (chăn dâi àan năng-sĕu lêm-níi láew) – I have read this book already
8. อนาคตกาลเดียวกัน (Future Perfect)
The future perfect tense describes actions that will be completed by a specific time in the future. The words “จะได้” (jà dâi) are placed before the verb. For example:
สองเดือนหลังนี้เขาจะได้ผลงาน (sŏng deuan lăng-níi khăo jà dâi pŏn-ngaan) – Two months from now, he will have the result
9. อดีตกาลเดียวกัน (Past Perfect)
The past perfect tense is used to express actions that were completed before a specific point in the past. The word “ได้” (dâi) precedes the verb. For example:
เมื่อวานฉันได้กินข้าวแล้ว (mûea-waan chăn dâi gin kâao láew) – Yesterday, I had already eaten rice
10. ปัจจุบันกาลเสร็จสิ้น (Present Perfect Continuous)
The present perfect continuous tense describes actions that started in the past, continue in the present, and may continue into the future. The words “กำลัง” (gam-lang) or “กำลังจะ” (gam-lang jà) are placed before the verb, followed by “เพื่อนัก” (phûea nák). For example:
ฉันกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อนัก (chăn gam-lang àan năng-sĕu lêm-níi phûea-nák) – I have been reading this book
11. อนาคตกาลเสร็จสิ้น (Future Perfect Continuous)
The future perfect continuous tense expresses actions that will be ongoing in the future until a specified point. The words “กำลังจะ” (gam-lang jà) are placed before the verb, followed by “เพื่อนัก” (phûea nák). For example:
สองเดือนหลังนี้เขากำลังจะทำงานเพื่อนัก (sŏng deuan lăng-níi khăo gam-lang jà tham-ngaan phûea-nák) – Two months from now, he will have been working
12. อดีตกาลเสร็จสิ้น (Past Perfect Continuous)
The past perfect continuous tense expresses actions that were ongoing in the past until a specific point. The words “กำลัง” (gam-lang) or “กำลังจะ” (gam-lang jà) are placed before the verb, followed by “เพื่อนัก” (phûea nák). For example:
เมื่อวานฉันกำลังจะได้ทำงานเพื่อนัก (mûea-waan chăn gam-lang jà dâi tham-ngaan phûea-nák) – Yesterday, I had been working
FAQs
Q1. Are there any irregularities in Thai verb tenses?
A1. Unlike some languages, Thai doesn’t have many irregular verbs. Most verbs follow a predictable pattern of conjugation across the various tenses.
Q2. Are Thai tenses the same for all pronouns?
A2. Yes, Thai tenses remain the same regardless of the pronoun being used.
Q3. Can I omit the words that indicate verb tenses in Thai?
A3. While it’s possible to omit the tense markers in certain contexts where the context is clear, using appropriate tense markers helps in conveying the intended meaning more precisely.
Q4. Are there any other important aspects to consider when using Thai verb tenses?
A4. Yes, apart from verb tenses, Thai also features aspects, such as perfective, imperfective, and potential, which further clarify the duration and completion of actions.
Q5. How can I practice Thai verb tenses effectively?
A5. Regular practice is key to mastering Thai verb tenses. Engage in conversations, seek opportunities to use the language, and make use of grammar exercises and listening materials to reinforce your understanding.
In conclusion, understanding and using the 12 tenses in Thai is crucial for effective communication. By familiarizing yourself with these tenses and their appropriate usage, you can greatly enhance your language skills and confidently express actions, states, and times in Thai.
4 Tense มีอะไรบ้าง
The Thai language, known for its beautiful tonal pronunciation and unique script, also possesses an interesting tense structure. Understanding tenses is crucial for effective communication in any language, and Thai is no exception. In this article, we will explore the four main tenses in Thai – present tense, past tense, future tense, and present continuous tense – to help learners grasp this aspect of the language more easily.
Present Tense (ปัจจุบัน)
Let’s begin with the present tense, known as “ปัจจุบัน” in Thai. This tense is used to describe actions happening in the present or general truths. In Thai, the present tense is relatively simple as the verb remains unchanged regardless of the subject pronoun or whether the sentence is affirmative or negative.
For example:
– ผมอ่านหนังสือ (Pom arn nang-suu) – I read books.
– เขาไม่รู้ (Khao mai roo) – He/she doesn’t know.
Past Tense (อดีต)
Moving on to the past tense, known as “อดีต” in Thai, this tense is used to indicate actions that have already happened in the past. Unlike the present tense, Thai verbs in the past tense undergo changes depending on the gender and status of the speaker.
For example:
– ผมอ่านหนังสือ (Pom arn nang-suu) – I read books. (Male speaker)
– ดิฉันอ่านหนังสือ (Dee-chan arn nang-suu) – I read books. (Female speaker)
In the past tense, the verb is conjugated based on the gender of the speaker. Additionally, Thai often uses specific words to indicate past tense, such as “เมื่อวาน” (muea-wan) meaning “yesterday” or “ก่อนหน้านี้” (gaawn-naa-nee) meaning “before this”.
Future Tense (อนาคต)
The future tense, known as “อนาคต” in Thai, is used to express actions that will happen in the future. Similar to the present tense, Thai verbs in the future tense do not change regardless of the subject pronoun or whether the sentence is affirmative or negative.
For example:
– พรุ่งนี้ฉันจะไปเที่ยว (Phrung-nee-chan ja bpai thiao) – Tomorrow, I will go on a trip.
– เขาจะไม่มา (Khao ja mai maa) – He/she will not come.
To indicate future tense, Thai often uses specific words such as “พรุ่งนี้” (phrung-nee) meaning “tomorrow” or “อีกสามวัน” (eek-sam-wan) meaning “in three days”.
Present Continuous Tense (ปัจจุบันกำลังทำอยู่)
Lastly, let’s explore the present continuous tense, known as “ปัจจุบันกำลังทำอยู่” in Thai. This tense describes actions that are currently happening in the present. In Thai, the present continuous tense is formed by adding the phrase “กำลัง” (gam-lang) before the verb.
For example:
– เขากำลังร้องเพลง (Khao gam-lang raawng phleeng) – He/she is singing.
– ฉันกำลังทำงาน (Chan gam-lang tham-ngaan) – I am working.
To create a negative sentence in the present continuous tense, the word “ไม่” (mai) is added before the verb.
Frequently Asked Questions:
Q: How can I easily determine the tense in Thai?
A: Unlike some languages, Thai does not heavily rely on verb conjugation to indicate tense. Instead, Thai often uses specific words or phrases to denote past, present, or future actions.
Q: Are there any irregular verbs in Thai?
A: Yes, there are a few irregular verbs in Thai that do not follow the usual tense rules. However, these irregularities are far less common compared to other languages like English or French.
Q: Can I use the present tense to express future actions in Thai?
A: Yes, Thai often uses the present tense to describe future actions, especially in spoken language or casual conversations. However, using the future tense is preferred for more formal or written contexts.
Q: How do I know if a verb is regular or irregular in Thai?
A: Regular verbs in Thai generally follow the same conjugation rules based on tense and speaker gender. By contrast, irregular verbs have unique conjugation patterns that must be memorized individually.
Q: Are there any patterns or rules to identify the gender of the speaker in Thai?
A: In Thai, the gender of the speaker can usually be determined by specific particles or pronouns used when referring to oneself. For example, “ผม” (pom) is typically used by males, while “ดิฉัน” (dee-chan) or “ฉัน” (chan) is often used by females.
In conclusion, understanding the four main tenses in Thai – present tense, past tense, future tense, and present continuous tense – provides a strong foundation for effective communication in the language. Remember that Thai verbs do not undergo extensive conjugation based on tense, but rather rely on specific words and phrases to indicate past, present, and future actions. With practice and exposure to various contexts, learners will gradually become more comfortable and proficient in using these tenses accurately.
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
ไฟล์ สรุป 12 Tense
Introduction:
Learning a new language is always an exciting and challenging endeavor. Thai, being the official language of Thailand, is no exception. One important aspect of learning any language is mastering its grammatical rules, particularly verb tenses. In this comprehensive guide, we will delve into the 12 verb tenses in Thai, commonly known as “ไฟล์ สรุป” (File Summary), and provide an in-depth understanding of their usage and structure.
1. Present Simple Tense (AF):
The Present Simple Tense describes routine actions and general truths. The verb remains unchanged, and it is often used in combination with adverbs of frequency such as “always,” “often,” or “never.”
2. Present Continuous Tense (AFF):
This tense represents actions happening at the time of speaking. It consists of the verb “กำลัง” (kamlang) followed by the present participle of the main verb.
3. Present Perfect Tense (AO):
The Present Perfect Tense describes completed actions with a connection to the present. The auxiliary verb “ได้” (dai) is used before the past participle of the main verb.
4. Present Perfect Continuous Tense (AOFF):
This tense indicates actions that began in the past, continue in the present, and might continue into the future. It consists of the auxiliary verb “ได้กำลัง” (dai kamlang) followed by the present participle of the main verb.
5. Past Simple Tense (AR):
The Past Simple Tense expresses completed actions in the past. Regular verbs are conjugated by adding “แล้ว” (leo) at the end, while irregular verbs have specific conjugations.
6. Past Continuous Tense (ARR):
This tense describes past actions that were happening at a specific time in the past. It includes the auxiliary verb “อยู่” (yoo) followed by the present participle of the main verb.
7. Past Perfect Tense (AOR):
The Past Perfect Tense refers to actions that occurred before another action in the past. The auxiliary verb “เคย” (koey) is used before the past participle of the main verb.
8. Past Perfect Continuous Tense (AORR):
This tense indicates continuous actions that started and continued in the past before being interrupted by another action. It uses the auxiliary verbs “เคยกำลัง” (koey kamlang) followed by the present participle of the main verb.
9. Future Simple Tense (AOJ):
The Future Simple Tense represents actions that will happen in the future. It consists of the auxiliary verb “จะ” (ja) followed by the main verb.
10. Future Continuous Tense (AOJJ):
This tense describes actions that will be happening at a specific time in the future. It includes the auxiliary verb “ก็จะกำลัง” (kor ja kamlang) followed by the present participle of the main verb.
11. Future Perfect Tense (AOJR):
The Future Perfect Tense refers to actions that will be completed by a specific time in the future. It uses the auxiliary verb “ก็จะเคย” (kor ja koey) followed by the past participle of the main verb.
12. Future Perfect Continuous Tense (AOJRR):
This tense indicates continuous actions that will have been happening and will still be happening by a specific time in the future. It consists of the auxiliary verbs “ก็จะเคยกำลัง” (kor ja koey kamlang) followed by the present participle of the main verb.
FAQs:
1. Which verb tenses are most commonly used in everyday speech?
The Present Simple Tense (AF), Past Simple Tense (AR), and Future Simple Tense (AOJ) are the most commonly used verb tenses in everyday speech.
2. What is the best way to practice using different verb tenses in Thai?
Engaging in conversations with native Thai speakers, reading and writing in Thai, and listening to Thai audio materials can greatly enhance your ability to practice and master the different verb tenses.
3. Are there any irregular verb conjugations?
Yes, there are irregular verb conjugations in Thai, especially in the Past Simple Tense (AR). Examples include the verbs “ตาย” (dtaai) (to die) and “เป็น” (bpen) (to be).
4. Will native Thai speakers understand me if I use the wrong verb tense?
Native Thai speakers are generally forgiving when it comes to grammatical errors. However, using the wrong verb tense might affect the clarity of your message. It is essential to practice and strive for accuracy to ensure effective communication.
Conclusion:
Mastering verb tenses is crucial for effective communication in any language, including Thai. The ไฟล์ สรุป (File Summary) of the 12 verb tenses in Thai provides a comprehensive structure and understanding of the various tenses used in different contexts. Practice, exposure to native Thai speakers, and constant usage will undoubtedly boost your confidence and fluency in utilizing these verb tenses.
Tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง
ท้าวันนี้ เราจะมาสำรวจแต่ละรูปแบบของเสียงเวลาในภาษาอังกฤษอย่างละเอียดและให้ตัวอย่างเบื้องต้นเพื่อให้ความเข้าใจที่ดีขึ้น
1. Present Simple (Present Indefinite)
รูปแบบนี้ใช้ในกรณีที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน หรือเป็นสถานะที่เป็นจริงเสมอ ๆ ตัวอย่างเช่น
– The sun rises in the east. (แสดงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริงตลอดเวลา)
– She works as a teacher. (แสดงว่าเธอทำงานเป็นครูตลอดเวลา)
2. Present Continuous (Present Progressive)
รูปแบบนี้ใช้เพื่ออธิบายเรื่องราวหรือสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่หรือกำลังเป็นระหว่างที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น
– They are playing football. (พวกเขากำลังเล่นฟุตบอลอยู่)
– I am studying for the exam. (ฉันกำลังเรียนเตรียมสอบอยู่)
3. Present Perfect
รูปแบบนี้ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังมีผลกระทบในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น
– She has visited Paris. (เธอได้เที่ยวปารีสแล้ว)
– They have seen that movie before. (พวกเขาเคยดูหนังเรื่องนั้นมาก่อน)
4. Present Perfect Continuous (Present Perfect Progressive)
รูปแบบนี้ใช้แสดงหนังสือสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น
– He has been studying English for 2 hours. (เขากำลังศึกษาภาษาอังกฤษมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว)
– We have been waiting for the bus since morning. (เราได้รอรถเมล์ตั้งแต่เช้าแล้ว)
5. Past Simple (Past Indefinite)
รูปแบบนี้ใช้เมื่อเราต้องการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตโดยไม่มีผลกระทบกับปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น
– She walked to school yesterday. (เธอเดินไปโรงเรียนเมื่อวาน)
– John played football when he was young. (จอห์นเล่นฟุตบอลเมื่อเขายังเด็ก)
6. Past Continuous (Past Progressive)
รูปแบบนี้ใช้แสดงหนังสือสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต ใช้ร่วมกับคำอื่น ๆ เพื่อเป็นการบอกว่ามีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น
– They were studying when the lights went out. (พวกเขากำลังเรียนเมื่อไฟดับ)
– I was cooking dinner while he was watching TV. (ฉันกำลังทำอาหารข้าวเย็นในขณะที่เขากำลังดูทีวี)
7. Past Perfect
รูปแบบนี้ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนหน้าเหตุการณ์ที่อื่นในอดีต ตัวอย่างเช่น
– She had gone to bed when I arrived. (เธอไปนอนก่อนที่ฉันจะมาถึง)
– They had finished dinner before the guests arrived. (พวกเขาทานข้าวเสร็จก่อนที่แขกจะมาถึง)
8. Past Perfect Continuous (Past Perfect Progressive)
รูปแบบนี้ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น
– They had been working on the project for 6 months before it was completed. (พวกเขาได้ทำงานโปรเจกต์นี้มาเป็นเวลา 6 เดือนก่อนที่จะเสร็จสิ้น)
– We had been waiting for the bus for an hour when it finally arrived. (เรารอรถเมล์มาเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้วก่อนที่จะมาถึง)
9. Future Simple (Future Indefinite)
รูปแบบนี้ใช้เพื่อพยายามทำคาดการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตัวอย่างเช่น
– She will call you later. (เธอจะโทรถึงคุณในภายหลัง)
– They will go on vacation next month. (พวกเขาจะไปเที่ยวในเดือนหน้า)
10. Future Continuous (Future Progressive)
รูปแบบนี้ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังเกิดขึ้นเมื่อเรากล่าวถึงเวลาในอนาคต ตัวอย่างเช่น
– They will be watching a movie at that time tomorrow. (พวกเขากำลังดูหนังเมื่อเวลาถึงวันพรุ่งนี้)
– I will be sleeping when you arrive. (ฉันจะหลับตอนที่คุณมาถึง)
11. Future Perfect
รูปแบบนี้ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก่อนหน้าเหตุการณ์อื่นในอนาคต ตัวอย่างเช่น
– She will have finished her homework by the time her friend arrives. (เธอจะทำการบ้านเสร็จถึงเวลาที่เพื่อนของเธอมาถึง)
– They will have left before the party begins. (พวกเขาจะไปก่อนที่ปาร์ตี้จะเริ่ม)
12. Future Perfect Continuous (Future Perfect Progressive)
รูปแบบนี้ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและยังคงเกิดเป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น
– By the end of the year, they will have been living in this city for 10 years. (จนถึงสิ้นปี พวกเขาจะอาศัยอยู่ในเมืองนี้มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว)
– She will have been working on this project for 3 weeks by the time it is completed. (เธอจะทำงานโปรเจกต์นี้มาเป็นเวลา 3 สัปดาห์เมื่อเวลาที่เสร็จสิ้น)
คำถามที่พบบ่อย
Q1: ถ้าฉันใช้รูปแบบเสียงเวลาผิด สำหรับประโยคภาษาอังกฤษ จะมีผลเสียอย่างไรหรือไม่?
A1: การใช้รูปแบบเสียงเวลาถูกต้องมีความสำคัญอย่างมากในภาษาอังกฤษ เพราะอาจทำให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านไม่เข้าใจหรือสับสนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ควรอ่าน ฟัง และฝึกใช้รูปแบบของเสียงเวลาอย่างระมัดระวัง
Q2: รูปแบบเสียงเวลาในภาษาอังกฤษซับซ้อนหรือยากในการเรียนรู้หรือไม่?
A2: การเรียนรู้รูปแบบเสียงเวลาในภาษาอังกฤษอาจยากที่สุดก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อบัญญัติภาษาแม่เป็นภาษาที่ไม่มีรูปแบบของเสียงตรงกับเสียงเวลาในภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องและการฟังจากแหล่งที่มีเนื้อหาหลากหลายสามารถช่วยให้ความเข้าใจเรื่องราวของรูปแบบเสียงเวลาเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
แม้ว่า เสียงเวลาในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ผ่านพ้นไปได้นั้นจะเป็นทั้งสิ่งที่น่าสนุก และท้าทาย ขอให้คุณสนุกกับการศึกษาเสียงเวลาในภาษาอังกฤษ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ
พบ 19 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ สรุปtense.
ลิงค์บทความ: สรุปtense.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ สรุปtense.
- สรุป Tense ทั้ง 12 ใช้ยังไง โครงสร้างประโยคของแต่ละ … – Sanook
- Grammar: สรุปรวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
- หลักการใช้ 12 Tense อย่างละเอียด พร้อมโครงสร้าง tense ที่สรุป …
- สรุป Tense ภาษาอังกฤษทั้ง 12 Tenses | by Chaiyapat | PIX7.ME
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
- สรุป 12 Tenses ภาษาอังกฤษอย่างง่าย – YouTube
- สรุป 4 tenses คู่ รู้ไว้ ตัดชอยส์ได้รัว ๆ อัปคะแนน TOEIC 750+ – OpenDurian
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- 12 English tense ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
ดูเพิ่มเติม: https://lasbeautyvn.com/category/digital-studios