สรุป Tense เข้าใจง่าย
1. อินทิเกรตอะไรคือ Tense ในภาษาอังกฤษ
ในภาษาอังกฤษ, Tense คืออินทิเกรตที่ใช้ในการแสดงเวลาของเหตุการณ์หรือกริยาในประโยค ซึ่งคำว่า “Tense” มาจากคำว่า “Tempus” ในภาษาละติน ซึ่งแปลว่า “เวลา” หรือ “ตอน”
การใช้ Tense ช่วยให้เราสามารถเล่าเรื่องราวหรือสื่อสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตได้อย่างชัดเจน โดยมี Tense หลักทั้ง 3 ตัวคือ Past Tense (ตอนอดีต), Present Tense (ตอนปัจจุบัน), และ Future Tense (ตอนอนาคต)
2. ประเภทของ Tense ในภาษาอังกฤษ
Tense ในภาษาอังกฤษจะมีทั้งหมด 12 ประเภท ดังนี้
– Present Simple Tense: ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นเป็นประจำ หรือสิ่งที่เป็นครั้งคราว
ตัวอย่าง: I study English every day. (ฉันเรียนภาษาอังกฤษทุกวัน)
– Present Continuous Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
ตัวอย่าง: They are watching a movie now. (พวกเขากำลังดูหนังอยู่ในขณะนี้)
– Present Perfect Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่มีผลกระทบกับปัจจุบัน
ตัวอย่าง: He has lived in Thailand for 5 years. (เขาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 5 ปีแล้ว)
– Present Perfect Continuous Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน
ตัวอย่าง: She has been working here since 2010. (เธอทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 2010)
– Past Simple Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและเสร็จสิ้นแล้ว
ตัวอย่าง: We went to the beach last weekend. (เราไปชายหาดเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว)
– Past Continuous Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในอดีต
ตัวอย่าง: They were playing football when it started raining. (พวกเขากำลังเล่นฟุตบอลเมื่อมีฝนตก)
– Past Perfect Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนเหตุการณ์อื่น ๆ
ตัวอย่าง: He had already eaten when she arrived. (เขากินอาหารแล้วเมื่อเธอมาถึง)
– Past Perfect Continuous Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยังคงอยู่ในอดีตก่อนเหตุการณ์อื่น ๆ
ตัวอย่าง: They had been talking for hours before I joined the conversation. (พวกเขาคุยกันมาหลายชั่วโมงก่อนที่ฉันจะเข้าร่วมสนทนา)
– Future Simple Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่าง: We will have a party next week. (เราจะจัดปาร์ตี้ในสัปดาห์หน้า)
– Future Continuous Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่จะกำลังเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่าง: They will be waiting for you at the airport tomorrow. (พวกเขาจะรอคุณที่สนามบินพรุ่งนี้)
– Future Perfect Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก่อนเหตุการณ์อื่น ๆ
ตัวอย่าง: She will have finished the report by the time the meeting starts. (เธอจะเสร็จงานรายงานได้ก่อนที่การประชุมจะเริ่มต้น)
– Future Perfect Continuous Tense: ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นและยังคงเกิดขึ้นในอนาคตก่อนเหตุการณ์อื่น ๆ
ตัวอย่าง: By this time tomorrow, I will have been studying for 4 hours. (ในเวลานี้พรุ่งนี้ฉันจะเรียนมา 4 ชั่วโมงแล้ว)
3. การใช้ Tense ในประโยคบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว (Past Tense)
ในการใช้ Past Tense เราใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ทั้งที่เสร็จสิ้นและเริ่มต้นก่อนหน้านี้
ตัวอย่างประโยค:
– I visited my grandparents last weekend. (ฉันไปเยี่ยมปู่ย่าของฉันเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว)
– She woke up late this morning. (เธอตื่นสายในตอนเช้าวันนี้)
4. การใช้ Tense ในประโยคบอกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ (Present Tense)
Present Tense ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันหรือสิ่งที่เป็นจริงเสมอ
ตัวอย่างประโยค:
– They are playing football in the park. (พวกเขากำลังเล่นฟุตบอลในสวนสาธารณะ)
– He works at a hospital. (เขาทำงานที่โรงพยาบาล)
5. การใช้ Tense ในประโยคบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (Future Tense)
Future Tense ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างประโยค:
– We will have a meeting tomorrow. (เราจะมีการประชุมพรุ่งนี้)
– She is going to visit her family next week. (เธอกำลังจะไปเยือนครอบครัวของเธอสัปดาห์หน้า)
6. ความหมายและการปรับเปลี่ยน Tense ในประโยคของกรรมวิธี (Modal Verbs)
กรรมวิธี (Modal Verbs) เป็นคำกริยาที่มีตำแหน่งเฉพาะในประโยค ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง Tense ในประโยค
ตัวอย่างประโยค:
– I can swim. (ฉันสามารถว่ายน้ำได้)
– She should study more. (เธอควรเรียนรู้มากขึ้น)
7. การใช้ Tense ในประโยคของสิ่งที่เป็นความจริงสะท้อนในปัจจุบัน (Present Real Condition)
Tense ในกรณีนี้ถูกใช้เมื่อเราต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นความจริงขณะนี้
ตัวอย่างประโยค:
– If it rains, we use an umbrella. (ถ้าฝนตกเราจะใช้ร่ม)
– She takes a taxi if she is running late. (เธอจะเรียกรถแท็กซี่ถ้าเธอมาสาย)
8. การใช้ Tense ในประโยคของสิ่งที่เป็นเงื่อนไขเทียบเท่าหรือไม่เป็นเงื่อนไข (Unreal Condition)
เงื่อนไขที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบันหรืออดีตจะใช้ Tense ในคำอธิบายภาคผนวก (Clause) หรือการบอกเหตุการณ์ที่ไม่เป็นจริง
ตัวอย่างประโยค:
– If I were rich, I would buy a big house. (ถ้าฉันเป็นคนรวยฉันจะซื้อบ้านใหญ่)
– She would go on vacation if she had enough money. (เธอจะเดินทางไปเที่ยวสุดขีดถ้าเธอมีเงินพอ)
คำถามที่พบบ่อย (FAQs):
1. สามารถหาไฟล์สรุป 12 Tense พร้อมตัวอย่างได้ที่ไหน?
คุณสามารถหาไฟล์สรุป 12 Tense พร้อมตัวอย่างจากหนังสือเรียนหรือเว็บไซต์แห่ง
12 Tenses ครบในคลิปเดียว! | เรียน Grammar ภาษาอังกฤษฟรี กับครูดิว
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: สรุป tense เข้าใจง่าย ไฟล์ สรุป 12 Tense, tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf, ตารางสรุป tense pdf, ตาราง tense เข้าใจง่าย, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt, Tense ทั้ง 12, Tense คือ
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ สรุป tense เข้าใจง่าย
หมวดหมู่: Top 58 สรุป Tense เข้าใจง่าย
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
ไฟล์ สรุป 12 Tense
Introduction
The Thai language, known for its unique script and tonal pronunciation, also encompasses a complex set of verb tenses. Understanding these tenses is crucial for effective communication in Thai, as they allow speakers to express different time frames and convey precise meanings. In this article, we will explore the 12 tenses in Thai, providing in-depth explanations and examples to aid learners in mastering this essential aspect of the language.
1. Present Simple Tense (ปัจจุบันธรรมดา)
The Present Simple tense is used to express habitual actions, general truths, and things that are always true. In Thai, it is formed by using the base form of the verb.
Example: เขาจับปลาทุกวัน (kăo jàp bplaa tûk wan) – He catches fish every day.
2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกำลังทำ)
The Present Continuous tense is employed to describe actions that are happening at the present moment. In Thai, it is constructed by using the word “กำลัง” (kam-lang) before the verb.
Example: เขากำลังนอนอยู่ (kăo kam-lang nawn yùu) – He is sleeping.
3. Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลมาแล้ว)
The Present Perfect tense indicates actions that occurred in the past but have an impact on the present. It is formed by using “เคย” (koii) before the verb.
Example: เขาเคยไปเที่ยวภูเขา (kăo koii bpai tîao phoo kao) – He has been to the mountains.
4. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกำลังทำมาแล้ว)
The Present Perfect Continuous tense is used when emphasizing the duration of an action that started in the past and continues into the present. It is formed by combining “กำลัง” (kam-lang) and “เคย” (koii) before the verb.
Example: เขากำลังเรียนมาเป็นเดือนแล้ว (kăo kam-lang rian maa bpen deuan léaw) – He has been studying for a month.
5. Past Simple Tense (อดีตธรรมดา)
The Past Simple tense is employed to express completed actions in the past. In Thai, it is formed by adding “แล้ว” (léaw) at the end of the verb.
Example: เขาเขียนจดหมายเมื่อวาน (kăo kian jot-măai mûea-wăan) – He wrote a letter yesterday.
6. Past Continuous Tense (อดีตกำลังทำ)
The Past Continuous tense is used to describe actions that were ongoing in the past. It is constructed by using “กำลัง” (kam-lang) before the verb and adding “อยู่” (yùu) at the end.
Example: เขากำลังอ่านหนังสือเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว (kăo kam-lang àan năng-sĕu mûea sŏng chûa-mohng tîi léaw) – He was reading a book two hours ago.
7. Past Perfect Tense (อดีตกาลมาแล้ว)
The Past Perfect tense is employed to indicate an action that happened before another past event. It is formed by using “เคย” (koii) before the verb.
Example: เขาเคยทำงานที่อยุธยามาก่อน (kăo koii tam-ngaan tîi a-yút-tá-yaa maa gòrn) – He had worked in Ayutthaya before.
8. Past Perfect Continuous Tense (อดีตกำลังทำมาแล้ว)
The Past Perfect Continuous tense emphasizes the duration of an action that happened before another past event and continued up to that point. It is formed by combining “กำลัง” (kam-lang) and “เคย” (koii) before the verb.
Example: เขากำลังอ่านหนังสือมานานกว่าวันที่ผ่านมา (kăo kam-lang àan năng-sĕu maa naan gwàan wîi pàan maa) – He had been reading the book for longer than the past day.
9. Future Simple Tense (อนาคตธรรมดา)
The Future Simple tense is employed to express actions that will happen in the future. In Thai, it is formed by adding “จะ” (jà) before the verb.
Example: เขาจะไปเที่ยวทะเลพรุนในวันหยุด (kăo jà bpai tîao tá-lay phroon nai wan-yùt) – He will go to Pattaya over the weekend.
10. Future Continuous Tense (อนาคตกำลังทำ)
The Future Continuous tense is used to describe actions that will be ongoing in the future. It is constructed by using “กำลัง” (kam-lang) before the verb with the addition of “อยู่” (yùu) at the end.
Example: เขากำลังทำการบ้านตอนนี้ (kăo kam-lang tam gaan-bâan dtawn nîi) – He will be doing homework now.
11. Future Perfect Tense (อนาคตกาลมาแล้ว)
The Future Perfect tense indicates an action that will be completed before another future event. It is formed by using “เคย” (koii) before the verb.
Example: เขาเคยได้พบกับอาจารย์ก่อนคนอื่น (kăo koii dâi phóp gàp aa-jăan gòrn khon ùuen) – He will have met the teacher before anyone else.
12. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกำลังทำมาแล้ว)
The Future Perfect Continuous tense emphasizes the duration of an action that will be ongoing until another future event. It is formed by combining “กำลัง” (kam-lang) and “เคย” (koii) before the verb.
Example: เขากำลังฝึกออกกำลังกายมานานกว่าเดือน (kăo kam-lang fèuk àwk kam-lang-gaai maa naan gwàan deuan) – He will have been exercising for longer than a month.
FAQs
1. Q: Can these tenses be used interchangeably with English tenses?
A: While there may be similarities between Thai and English tenses, keep in mind that their usages might differ. It is important to understand the context and cultural norms when using the Thai tenses.
2. Q: Are there any irregularities in the formation of these tenses?
A: No, the formation of the tenses in Thai is relatively straightforward, and there are no significant irregularities to be aware of.
3. Q: How can I practice these tenses?
A: Practice is key to mastering any language. Engage in conversations with native speakers, use online resources, and participate in language exchanges to reinforce your understanding and usage of the tenses.
Conclusion
Mastering the 12 tenses in Thai is a fundamental step towards fluency in the language. By understanding when to use each tense and practicing their formation and usage, learners can effectively express actions and events in different time frames. With dedication and practice, learners can confidently navigate the intricacies of Thai verb tenses and enhance their overall language skills.
Tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง
1. Simple Present Tense (ปัจจุบันกาลง่าย)
Simple Present Tense ใช้เพื่อบอกเหตุการณ์หรือสิ่งที่เป็นความจริงในปัจจุบัน โดยจะใช้กริยา (verb) ในรูป Base Form (ไม่ได้เติม –s, -es, -ies) สำหรับบุคคลที่ 3 ชื่อด้วย ในรูปประโยคที่บอกความจริง เราสามารถใช้คำวิเศษณ์ (adverbs) เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ตัวอย่างประโยค:
– She works at a hospital. (เธอทำงานที่โรงพยาบาล)
– Cats like to play with balls. (แมวชอบเล่นกับลูกบอล)
– We eat dinner at 7 pm. (เรากินข้าวเย็นเวลา 7 โมงเย็น)
2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง)
Present Continuous Tense เป็น Tense ที่ใช้เมื่อเรียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน โดยมักใช้กับกริยาที่อยู่ในรูปต่างๆ + กริยาช่วย “be” (am, is, are) + verb ที่อยู่ในรูป -ing ตัวอย่างประโยค:
– They are watching a movie now. (พวกเขากำลังดูหนังตอนนี้)
– She is studying English at the moment. (เธอกำลังเรียนภาษาอังกฤษในตอนนี้)
– I am not playing games right now. (ฉันไม่ได้เล่นเกมตอนนี้)
3. Simple Past Tense (อดีตกาลง่าย)
Simple Past Tense ใช้เพื่ออธิบายกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต คำกริยาจะอยู่ในรูปประโยค Base Form (รูป Root) นอกจากกริยา “be” ซึ่งใช้รูป was/were ในกรณีบุคคลที่ 1, 2, และ 3 ตัวเอง ตัวอย่างประโยค:
– He played football yesterday. (เขาเล่นฟุตบอลเมื่อวาน)
– We visited our grandparents last weekend. (เราไปเยี่ยมปู่ย่าเสาร์-อาทิตย์ที่แล้ว)
– She didn’t go to work yesterday. (เธอไม่ไปทำงานเมื่อวาน)
4. Past Continuous Tense (อดีตกาลต่อเนื่อง)
Past Continuous Tense ใช้เมื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตเป็นเวลาบางระยะ ใช้กริยาช่วย “be” รูป was/were ตามด้วยกริยาที่อยู่ในรูป -ing ตัวอย่างประโยค:
– They were studying when I called them. (พวกเขากำลังเรียนอยู่เมื่อฉันโทรหาพวกเขา)
– I was sleeping when the phone rang. (ฉันกำลังหลับเมื่อโทรศัพท์ร้องตอนนั้น)
– She was not cooking dinner at 8 pm yesterday. (เธอไม่ได้ทำอาหารเย็นเวลา 8 โมงคืนเมื่อวาน)
5. Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์)
Present Perfect Tense ใช้เมื่อกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่มีผลกระทบหรือความสัมพันธ์กับปัจจุบัน ใช้กริยาช่วย “have/has” ตามด้วยรูป Past Participle ของกริยา ตัวอย่างประโยค:
– I have already eaten lunch. (ฉันกินอาหารเที่ยงแล้ว)
– They have lived in Thailand since 2010. (พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2010)
– Have you done your homework? (คุณทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง)
6. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
Present Perfect Continuous Tense ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์หรือกระทำที่เริ่มต้นตั้งแต่อดีตและยังคงดำเนินการไปจนถึงปัจจุบัน ใช้กริยาช่วย “have/has been” ตามด้วยรูป -ing ของกริยา ตัวอย่างประโยค:
– She has been studying English for three hours. (เธอเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นเวลา 3 ชั่วโมง)
– We have been waiting for the bus since morning. (เรารอรถเมล์ตั้งแต่เช้า)
– They have not been working here for a long time. (พวกเขาไม่ได้ทำงานที่นี่นานเลย)
7. Simple Future Tense (อนาคตกาลง่าย)
Simple Future Tense ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ใช้กริยา “will/shall” ตามด้วย Base Form ของกริยา ตัวอย่างประโยค:
– He will visit his parents next month. (เขาจะไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขาเดือนหน้า)
– We shall meet at the park tomorrow. (เราจะพบกันที่สวนสาธารณะวันพรุ่งนี้)
– The concert will start at 7 pm. (คอนเสิร์ตจะเริ่มเวลา 7 โมงเย็น)
8. Future Continuous Tense (อนาคตกาลต่อเนื่อง)
Future Continuous Tense ใช้เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบางระยะเวลา ใช้กริยาช่วย “will be” ตามด้วยรูป -ing ของกริยา ตัวอย่างประโยค:
– They will be playing soccer this time next week. (พวกเขาจะกำลังเล่นฟุตบอลในสัปดาห์หน้าตอนนี้)
– I will be working late tonight. (ฉันจะทำงานปลุกลึกคืนนี้)
– She won’t be cooking dinner tomorrow. (เธอจะไม่ทำอาหารเย็นพรุ่งนี้)
9. Future Perfect Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์)
Future Perfect Tense เชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดในอนาคตกับจุดในอนาคตอื่นๆ ใช้อกาศ “will have” ตามด้วยส่วนที่เหลือจาก Past Participle ของกริยา ตัวอย่างประโยค:
– By the time you arrive, I will have finished my work. (ก่อนที่คุณจะมาถึง ฉันจะได้ทำงานเสร็จ)
– We will have left before the concert starts. (เราจะได้รับปล่อยก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่ม)
– She won’t have eaten her lunch by that time. (เธอจะไม่ได้รับปล่อยอาหารกลางวันของเธอแล้วก็นั้นเองภายในตอนนั้น)
10. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
Future Perfect Continuous Tense ใช้เมื่อเราต้องการเล่าถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดและยังคงดำเนินการในอนาคตกาล ใช้ช่องทาง “will have been” ตามด้วยรูป -ing ของกริยา ตัวอย่างประโยค:
– I will have been studying English for two hours by the time you arrive. (ไม่ว่าจะเป็นยามทีเครื่องจะถึงที่ ฉันจะยังคงการเรียนภาษาอังกฤษไปในระยะเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว)
– They will have been waiting for the bus since morning. (ไม่ว่าจะเป็นยามที่เครื่องจะถึงที่ พวกเขายังคงการรอรถเมล์ตั้งแต่เช้า)
– She won’t have been cooking dinner for a long time by the time you arrive. (ไม่ว่าจะเป็นยามที่เครื่องจะถึงที่ ภายในขอบเขตของเวลานั้นเอง เธอจะยังไม่ได้ทำอาหารเย็นเป็นเวลานาน)
11. Past Perfect Tense (อดีตกาลสมบูรณ์)
Past Perfect Tense เราใช้เมื่อต้องการเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในอดีต ใช้กริยาช่วย “had” ตามด้วยส่วนที่เหลือของกริยาที่อยู่ในรูป Past Participle ตัวอย่างประโยค:
– I had already eaten lunch before you called. (ฉันกินอาหารเที่ยงไปแล้วก่อนที่เธอจะโทรมา)
– They had already left by the time we arrived. (พวกเขาไปแล้วก่อนที่เราจะมาถึง)
– She hadn’t cooked dinner when they came home. (เธอไม่ได้ทำอาหารเย็นเมื่อพวกเขากลับบ้านมา)
12. Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
Past Perfect Continuous Tense เราใช้เมื่อเราต้องการเล่าถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดและยังคงดำเนินการอยู่ในอดีตกาล ใช้กริยาช่วย “had been” ตามด้วยรูป -ing ของกริยา ตัวอย่างประโยค:
– I had been studying English for 2 hours before you called. (ฉันมีเวลาเรียนภาษาอังกฤษไปถึง 2 ชั่วโมงก่อนที่เธอจะโทรมา)
– They had been waiting for the bus since morning. (พวกเขาได้รับหยุดรถเมล์ตั้งแต่เช้า)
– She hadn’t been cooking dinner for a long time when they came home. (เธอไม่ได้ทำอาหารเย็นเป็นเวลานาน ตอนที่พวกเขารีบกลับบ้านมันเอง)
คำถามที่พบบ่อย
Q: เราจะใช้ Tense อะไรเมื่อ
มี 22 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ สรุป tense เข้าใจง่าย.
ลิงค์บทความ: สรุป tense เข้าใจง่าย.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ สรุป tense เข้าใจง่าย.
- สรุปหลักการของ tense ทั้ง 12 tense ฉบับเข้าใจง่าย – GrammarLearn
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
- Tenses ทั้ง 12 สรุปเข้าใจง่าย – English Down-under
- สรุป 12 Tense ให้เข้าใจง่ายๆ – Classy-english.com
- สรุป 12 Tense ภาษาอังกฤษ จำง่าย ใช้ได้ตลอดชีวิต! – OpenDurian
- สรุป 12 tense เข้าใจง่าย จำง่าย พร้อมตัวอย่างประโยค
- เรียนภาษาอังกฤษฟรี สรุป 12 Tenses แบบสั้นและเข้าใจง่าย
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
ดูเพิ่มเติม: https://lasbeautyvn.com/category/digital-studios