โครงสร้างเท้น
องค์ประกอบของโครงสร้างเท้น (Components of Tense Structure)
โครงสร้างเท้น (Tense Structure) ประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลักที่ทำให้เราสามารถใช้เวลาในประโยคแตกต่างกันได้ ซึ่งองค์ประกอบหลักนี้ประกอบไปด้วย “เรื่องเวลา” (Time) และ “ความหมายการใช้เวลา” (Aspect)
1. เรื่องเวลา (Time)
เรื่องเวลาเป็นจุดหมายถึงช่วงเวลาหรือเหตุการณ์ที่\เกิดขึ้น โดยมี 3 นามธรรมชาติที่สำคัญคือ “อดีต” (Past) “ปัจจุบัน” (Present) และ “อนาคต” (Future)
2. ความหมายการใช้เวลา (Aspect)
ความหมายการใช้เวลาเป็นลักษณะเฉพาะที่ใช้เวลาเพื่อเน้นเหตุการณ์หรือสภาวะที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่ “ผ่านไปแล้ว” (Perfective) “กำลังทำอยู่” (Progressive) “ครบถ้วน” (Perfect) และ “เกิดขึ้นซ้ำๆ” (Repetitive)
การใช้เทนในประโยคบวกสรรพนาม (Using Tense in Affirmative Sentences with Pronouns)
เมื่อต้องการใช้เทนในประโยคบวกโดยมีสรรพนามเป็นตัวชี้เป็นกลาง (pronouns) เราจะต้องแปลงรูปและใช้เทนตามชนิดของสรรพนามต่างๆ อย่างไรก็ตามจะมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการเปลี่ยนรูปตามบุคคลภาษา
– ในอดีต (Past):
ผมพูด (I spoke)
เขาเดิน (He walked)
เรานอน (We slept)
– ในปัจจุบัน (Present):
ฉันร้องเพลง (I sing)
เธอฟังเจ้าเป็น (You are the boss)
พวกเขาเห็น (They see)
– ในอนาคต (Future):
เธอจะอ่านหนังสือ (You will read a book)
เขาจะเลือก (He will choose)
เราจะทำงาน (We will work)
การใช้เทนในประโยคตั้งถามแบบกลางวัน (Using Tense in Interrogative Sentences in the Present)
เมื่อต้องการถามเรื่องเทนในปัจจุบัน เราต้องเพิ่มคำถามไปในประโยค โดยใช้คำถาม “ไหม” หรือคำถามอื่นๆ ขึ้นกับบุคคลหรือกรณีที่ต้องการถาม เช่น
– ในอดีต (Past):
เขากินข้าวเที่ยง (Did he eat lunch?)
เคยไปเที่ยวประเทศไทย (Have you ever been to Thailand?)
เธอแม่งำหรือยัง (Is she crying?)
– ในปัจจุบัน (Present):
เจ้าหน้าที่คุยกับลูกค้าอยู่ใช่ไหม (Are you talking to customers?)
เราต้องทำงานวันหลังจากบ้าน (Do we have to work from home?)
ทุกคนอยู่บ้านอยู่ไหม (Is everyone at home?)
– ในอนาคต (Future):
เขาจะไปที่ญี่ปุ่นใช่ไหม (Will he go to Japan?)
เราจะมาพบกันใช่ไหม (Will we meet?)
คุณจะซื้อน้ำหอมใหม่ใช่ไหม (Will you buy a new perfume?)
การใช้เทนในประโยคปฏิเสธแบบอนุมาน (Using Tense in Negative Sentences in the Past)
เมื่อต้องการแสดงความปฏิเสธในอดีต เราต้องเพิ่มคำกริยาปฏิเสธ (auxiliary verb) “ไม่” หรือ “ได้ไม่” เข้าไปในประโยค และเปลี่ยนรูปและใช้เทนตามคำกริยา อย่างไรก็ดีควรระวังการเปลี่ยนรูปของบุคลภาษาที่จะต้องทำกับทุกทรามธรรมชาติ
– ในอดีต (Past):
เขาไม่รู้ (He didn’t know)
เราไม่เห็น (We didn’t see)
ผมได้ไม่กิน (I didn’t eat)
– ในปัจจุบัน (Present):
เธอไม่เมิน (You don’t eat)
เขาไม่ได้มา (He doesn’t come)
เราไม่ชอบ (We don’t like)
– ในอนาคต (Future):
เหล่านักเรียนจะไม่พูด (The students won’t speak)
เราจะไม่ทำงาน (We won’t work)
พวกเขาจะได้ไม่รู้ (They won’t know)
ความหมายและการใช้เทนในประโยคภาษาไทย (Meaning and Usage of Tense in Thai Sentences)
การใช้เทนในประโยคภาษาไทยเกิดขึ้นเพื่อแสดงความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์หรือสภาพ โดยแต่ละคำต่างกันในช่วงเวลาที่เกิดขึ้น และมีความหมายที่แตกต่างกันไป โดยการใช้เทนมากมายที่สามารถใช้ในภาษาไทยได้ แต่ละคำจะมีเทนแบบหลักซึ่งจะถูกอธิบายดังนี้
1. Tense อดีต (Past Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่เกิดขึ้นในอดีต และเสร็จสิ้นแล้ว เช่น เขาเดินไปที่ร้านอาหาร (He walked to the restaurant)
2. Tense ปัจจุบัน (Present Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น เธออ่านหนังสือ (She reads a book)
3. Tense อนาคต (Future Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น เมืองจะเปิดประมูลที่นี่ (The city will hold an auction here)
4. Tense อดีตกาลละเอียด (Past Perfect Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนหน้าอีกเหตุการณ์หนึ่ง เช่น เขาเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้มาก่อน (He had studied at this school before)
5. Tense ปัจจุบันกาลละเอียด (Present Perfect Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่เกิดขึ้นในอดีตโดยความสัมพันธ์กับปัจจุบัน เช่น เราได้เจอแมวที่บ้าน (We have found a cat at home)
6. Tense อนาคตกาลละเอียด (Future Perfect Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก่อนหน้าเหตุการณ์อื่นๆ เช่น เขาจะได้ซื้อรถใหม่ก่อนที่เขาจะมีงานใหม่ (He will have bought a new car before he gets a new job)
7. Tense ปัจจุบันกาลกำลังต่าง (Present Progressive Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและกำลังเกิดขึ้นอยู่ เช่น เขากำลังอ่านหนังสืออยู่ (He is reading a book)
8. Tense อนาคตกาลกำลังต่าง (Future Progressive Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและจะกำลังเกิดขึ้นอยู่ เช่น เขาจะกำลังเดินไปกับเพื่อน (He will be walking with his friend)
9. Tense อดีตกาลความเสมอ (Past Continuous Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเวลานานๆ เช่น เธอเดินตามสุนัขมันมา (She was walking behind the dog)
10. Tense ปัจจุบันกาลความเสมอ (Present Continuous Tense)
– ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์หรือสภาพที่กำลังเกิดขึ้
วิธีจำ 12 Tenses จำแบบนี้ ไม่มีลืม!! (เข้าใจง่าย ไม่ต้องท่อง)
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: โครงสร้างเท้น โครงสร้าง Tense ทั้ง 12, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf, tense ตัวอย่างประโยค, tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt, ตัวอย่างประโยค คํา ถาม 12 tense, 12 tense จำง่าย
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ โครงสร้างเท้น
หมวดหมู่: Top 99 โครงสร้างเท้น
12 Tense มีอะไรบ้าง
1. Present Simple Tense (ปัจจุบันกาลธรรมดา): รูปแบบการใช้คำกริยาของปัจจุบันแบบธรรมดาหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเป็นความจริงในหลาย ๆ ประเด็น เช่น “ฉันทำงานที่บริษัท ABC” หรือ “เขาอยู่ที่บ้าน”
2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์): รูปแบบการใช้คำกริยาของปัจจุบันแบบกาลสมบูรณ์นี้สำหรับแสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันและกำลังดำเนินไปและอาจยังไม่สิ้นสุด เช่น “เขากำลังทำงานอยู่” หรือ “ฉันกำลังเรียนภาษาไทย”
3. Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลเต็มเสียง): คำกริยาในรูปแบบปัจจุบันแบบเต็มเสียงมักใช้เพื่อเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในอดีตแต่ส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน เช่น “ฉันเคยไปเที่ยวเมืองนี้มาก่อน” หรือ “เขาอยู่ที่ญี่ปุ่นมานานแล้ว”
4. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลเสริมสมบูรณ์): รูปแบบการใช้ยังคงหลักการเนื่องจาก Present Perfect Tense แต่เน้นไปที่ระยะเวลาที่เกินกว่า งานที่ทำในอดีตและยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน เช่น “ฉันเคยทำงานที่บริษัทนี้มาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว”
5. Future Simple Tense (อนาคตกาลธรรมดา): แสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือการแสดงสภาพในอนาคตเช่น “ฉันจะไปเที่ยวด้วยเพื่อน” หรือ “เธอจะซื้อรถใหม่”
6. Future Continuous Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์): ใช้เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและมีระยะเวลาในการเกิดเหตุการณ์ เช่น “พรุ่งนี้ตอน 8 โมงเช้าฉันจะอยู่ที่สนามบิน” หรือ “เขาจะกำลังทำงานตอนนี้”
7. Future Perfect Tense (อนาคตกาลเต็มเสียง): เป็นคำกริยาต่อยอดจาก Future Simple Tense แต่เน้นไปที่เหตุการณ์ที่จะสิ้นสุดลงในอนาคต สามารถใช้กับคำบอกเป็นรูปกริยา “เมื่อ” เช่น “ฉันจะถูกเสียงเรียกชื่อเมื่อได้ทำงานอย่างราบรื่น”
8. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลเสริมสมบูรณ์): รูปแบบการถ่ายทอดความเป็นในอนาคตของคำกริยาจาก Future Perfect Tense แต่เน้นไปที่ระยะเวลาที่ผ่านมาและสถานการณ์ในอนาคตของคำกริยา เช่น “ฉันจะเรียนภาษาไทยไปเป็นเวลา 2 ปีเมื่อจบแล้ว”
9. Past Simple Tense (อดีตกาลธรรมดา): ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลง โดยใช้คำกริยาแบบหลายแบบ เช่น “ฉันดูหนังเมื่อคืน” หรือ “เขาได้รับรางวัลในงาน”
10. Past Continuous Tense (อดีตกาลสมบูรณ์): ใช้เพื่ออธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งมีการใช้เวลา หรือเป็นตัวช่วยในการขยายความหมายของเหตุการณ์ เช่น “เธอกำลังอ่านหนังสือตอนที่ฉันเรียกเข้ามา”
11. Past Perfect Tense (อดีตกาลเต็มเสียง): หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมา สามารถใช้กับคำบอกเป็นรูปกริยา “เมื่อ” เช่น “พอเขามาถึง ฉันเคยกินข้าวเรียบร้อยแล้ว”
12. Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลเสริมสมบูรณ์): รูปแบบการใช้คำกริยาอดีตเสริมสมบูรณ์นี้ใช้แสดงถึงการกระทำที่มีระยะเวลาในอดีตและยังคงเกิดขึ้นไปแม้แต่จนถึงเวลาอนาคต เช่น “เขาได้วิ่งเป็นเวลา 3 ชั่วโมงเมื่อพายุมาถึง”
FAQs:
1. Tense มีอะไรบ้างในภาษาไทย?
ในภาษาไทยมี 12 Tense คือ Present Simple Tense, Present Continuous Tense, Present Perfect Tense, Present Perfect Continuous Tense, Future Simple Tense, Future Continuous Tense, Future Perfect Tense, Future Perfect Continuous Tense, Past Simple Tense, Past Continuous Tense, Past Perfect Tense, และ Past Perfect Continuous Tense.
2. เวลาใดที่ควรใช้ Present Simple Tense?
ควรใช้ Present Simple Tense เมื่อต้องการอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือเป็นความจริงที่เป็นคาดเดาได้ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอนาคต
3. Tense ในภาษาไทยมีความสำคัญอย่างไร?
การรู้จักและเข้าใจ Tense ในภาษาไทยจะช่วยให้สื่อสารได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ รูปแบบการใช้แต่ละ Tense จะแสดงถึงเวลาหรือสถานะของเหตุการณ์ในประโยค
4. Tense ในภาษาไทยแตกต่างจาก Tense ในภาษาอังกฤษอย่างไร?
แม้ว่า Tense ในทั้งสองภาษาจะทำหน้าที่อธิบายเวลาในประโยค แต่มีความแตกต่างทั้งในรูปแบบและการใช้งาน ถ้าหากผู้เรียนมีความคล้ายคลึงกันระหว่างภาษาทั้งสอง การเรียนรู้ Tense ในภาษาไทยจะช่วยให้ง่ายต่อการเรียนรู้เพิ่มเติมในภาษาอังกฤษอีกด้วย
4 Tense มีอะไรบ้าง
Introduction (45 words)
Learning a new language can be an exciting yet challenging endeavor. While mastering grammar is essential, understanding the tenses is crucial in effectively communicating in any language. In this article, we will delve into the four tenses in the Thai language, exploring their usage, structure, and common applications.
1. Past Tense – อดีต (dèet) (200 words)
The past tense in Thai, known as “อดีต” (dèet), is used to describe actions or events that have already occurred. To form the past tense, the verb is typically preceded by the word “เคย” (khoei), which translates to “already” or “used to.”
Example:
English: I went to the supermarket.
Thai: ผมไปห้างสรรพสินค้าแล้ว (phǒm bpai hǎang sànpá-sǐn-kháa léaw).
It is important to note that the past tense does not indicate the specific time an action took place, but rather that it has already happened. Therefore, using additional time indicators, such as yesterday or last night, may be necessary to provide a clearer context.
2. Present Tense – ปัจจุบัน (bpàt-jà-ban) (220 words)
The present tense in Thai, referred to as “ปัจจุบัน” (bpàt-jà-ban), is used to depict actions happening in the current moment or habitual actions.
Example:
English: I eat breakfast every morning.
Thai: ฉันกินอาหารเช้าทุกวัน (chǎn gin aa-hǎan cháo túk-wan).
Unlike the English language, where we commonly use the present continuous tense (e.g., I am eating), Thai relies solely on the present tense to convey ongoing actions.
3. Future Tense – อนาคต (à-naa-khót) (200 words)
When discussing future events or actions in Thai, we use the “อนาคต” (à-naa-khót) tense. To indicate the future tense, the verb is often preceded by the word “จะ” (jà), which translates to “will” or “going to.”
Example:
English: I will visit my family next week.
Thai: ผมจะไปเยี่ยมครอบครัวในสัปดาห์หน้า (phǒm jà bpai yîam krɔ̀ɔp-krá-waa nai sàp-daa-nâa).
By adding time markers, such as tomorrow or next month, learners can provide a clearer indication of when an action will occur.
4. Conditional Tense – เงื่อนไข (ngʉ̀aen-khăi) (180 words)
The conditional tense plays a crucial role in expressing hypothetical situations and assumptions in Thai. It is known as “เงื่อนไข” (ngʉ̀aen-khăi).
Example:
English: If I had more money, I would travel the world.
Thai: ถ้าฉันมีเงินมากกว่านี้ ฉันจะเดินทางไปทั่วโลก (thâa chǎn mii ngern mâak gwàa níi, chǎn jà dern-taang bpai thûa lôog).
The conditional tense in Thai uses the conjunction “ถ้า” (thâa), meaning “if,” followed by the main clause. To express the consequent or result, the word “จะ” (jà) is used.
FAQs (191 words)
Q1: Are there any irregular verbs in Thai when it comes to verb tenses?
A: Thai verbs, for the most part, follow a consistent pattern. However, there are a few irregular verbs that have unique conjugations in certain tenses. Regular practice and exposure to the language will help you become familiar with these irregularities.
Q2: Can I use the present tense to describe future events in Thai?
A: Yes, the present tense can be used to discuss future events in Thai. By adding time indicators, such as tomorrow or next month, learners can convey that the action will take place in the future.
Q3: Are there any other tenses in Thai besides the four mentioned?
A: While the four tenses mentioned above cover the basics of Thai grammar, there are additional verb structures and auxiliary words that can modify or enhance the meaning of the tenses, such as continuous or perfect tenses.
Q4: Do Thai verbs have gender-specific forms?
A: No, Thai verbs do not have gender-specific forms. The same verb forms apply regardless of the gender of the subject.
Conclusion (90 words)
Mastering the four tenses in Thai is crucial for effective communication in the language. By understanding the past, present, future, and conditional tenses, learners can confidently express themselves in various contexts. Remember to practice regularly and familiarize yourself with irregular verbs and additional grammatical structures to enhance your command of the language. With dedication and perseverance, you will be on your way to becoming a proficient Thai speaker.
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
โครงสร้าง Tense ทั้ง 12
การใช้เวลา (Tense) เป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารเพื่อให้เราสามารถสื่อความหมายในเรื่องเวลาได้อย่างถูกต้อง การใช้เวลาในภาษาไทยทั้ง 12 รูปแบบด้วยตัวอย่างที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและใช้งานได้อย่างถูกต้อง ในบทความนี้ เราจะพูดถึงโครงสร้าง Tense ทั้ง 12 ในภาษาไทย รวมถึงตัวอย่างและคำถามที่พบบ่อยตามจำนวนกรรมพยาน (FAQ) ด้วยเช่นกัน
1. Tense ปัจจุบัน (Present Tense)
โครงสร้าง: กริยาช่องที่ 1 + “อยู่” (“กำลัง”) + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– ฉันเดินไปที่ห้องน้ำ (I walk to the bathroom)
– เขากำลังร้องเพลง (He is singing)
2. Tense อดีต (Past Tense)
โครงสร้าง: กริยาช่องที่ 1 + “แล้ว” (“เเล้วค่ะ”) + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– เมื่อวานผมไปที่เขา (Yesterday, I went to her)
– เธอสอบผ่าน (She passed the exam)
3. Tense อนาคต (Future Tense)
โครงสร้าง: กริยาช่องที่ 1 + “จะ” + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– พรุ่งนี้ฉันจะไปสวนสนุก (Tomorrow, I will go to the amusement park)
– เขาจะเข้าร้านอาหาร (He will enter the restaurant)
4. Tense ปัจจุบันกำลัง (Present Continuous Tense)
โครงสร้าง: กริยาช่องที่ 1 + “กำลัง” + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– ฉันกำลังอ่านหนังสือ (I am reading a book)
– เขากำลังเขียนจดหมาย (He is writing a letter)
5. Tense อดีตกำลัง (Past Continuous Tense)
โครงสร้าง: กริยาช่องที่ 1 + “เเล้วกำลัง” + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– เธอเเซ่นเมื่อพบข่าวจากผม (She was shocked when she heard the news from me)
– เมื่อผมเขียนบทความ มือของผมเป็นไข้ (When I was writing the article, my hand was shaking)
6. Tense อนาคตกำลัง (Future Continuous Tense)
โครงสร้าง: กริยาช่องที่ 1 + “จะกำลัง” + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– เขาจะกำลังอ่านหนังสือหนังสือบนเตียง (He will be reading a book on the bed)
– พรุ่งนี้ผมจะกำลังเขียนภาคสรุป (Tomorrow, I will be writing a summary)
7. Tense ปัจจุบันเสร็จ (Present Perfect Tense)
โครงสร้าง: การกริยาช่องที่ 1 + “ได้” + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– เราเเลกของกันเมื่อวาน (We exchanged gifts yesterday)
– เธอได้รับเงินมากเกินไป (She has received too much money)
8. Tense อดีตเสร็จ (Past Perfect Tense)
โครงสร้าง: การกริยาช่องที่ 1 + “เคย” (“เคยค่ะ”) + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– เธอกินข้าวไปเเล้ว (She had eaten rice)
– ผมเคยเขียนบทความ บทกำเนิดอะไรในครอบครัว (I had written an article about the origin of something in my family)
9. Tense อนาคตเสร็จ (Future Perfect Tense)
โครงสร้าง: การกริยาช่องที่ 1 + “จะเคย” + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– พรุ่งนี้รอบบ่ายฉันจะได้ไปดูฟิล์มที่เมืองนอก (Tomorrow afternoon, I will have seen a movie in another city)
– ส่งเดือนหน้า ฉันจะเคยได้รับสุขภาพที่ดีขึ้น (By next month, I will have gotten better health)
10. Tense เงื่อนไข (Conditional Tense)
โครงสร้าง: “ถาม” (“ถ้าคุณ”) + กริยาช่องที่ 1 + “ก็จะ” (“ก็จะได้ค่ะ”) + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– ถ้าฉันมก. ฉันก็จะได้เงินเลี้ยงด้านค่าเดินทาง (If I get the scholarship, I will have a travel allowance)
– ถ้าเธอนานเป็นครู เธอก็จะประดิษฐ์เกมส์สอนการคำนวณ (If she stays as a teacher for a long time, she will have invented a math teaching game)
11. Tense คำสั่ง (Imperative Tense)
โครงสร้าง: กริยาช่องที่ 1 + “ไป” (“ไปที่นั่น”) + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– เขียนบทความจบสมัยคุณจะไป (Finish the article before you leave)
– เดินไปก่อนฉัน (Go before me)
12. Tense ความเห็น (Opinion Tense)
โครงสร้าง: กริยาช่องที่ 1 + “คิดว่า” + กริยาช่องที่ 2
ตัวอย่าง:
– ดูเหมือนว่าเขากำลังเดินไปที่ตลาด (It looks like he is walking to the market)
– ฉันคิดว่าคุณจะได้รับเกียรติบัตรจากกองทุนนี้ (I think you will receive an honor certificate from this fund)
FAQ โครงสร้าง Tense ทั้ง 12:
1. การใช้ Tense ทั้ง 12 ในภาษาไทยยากหรือง่ายตามความเข้าใจแรก?
การใช้ Tense ทั้ง 12 ในภาษาไทยสามารถทำได้โดยง่าย หากคุณได้ทำความเข้าใจในโครงสร้างและตัวอย่างที่ให้มาในบทความนี้ ความสำคัญคือการทดลองใช้และฝึกฝนเพื่อเข้าใจหลักการทำงานของแต่ละ Tense
2. Tense ใดที่เราใช้บ่อยที่สุดในภาษาไทย?
Tense ที่เราใช้บ่อยที่สุดในภาษาไทยคือ Tense ปัจจุบัน, อดีตและอนาคต เนื่องจากเป็น Tense ที่ใช้เพื่อแสดงการกระทำในช่วงเวลาที่ร่างกายของเพื่อนำไปใช้
3. สำหรับนักเรียนที่ต้องการเพิ่มการรู้จักเกี่ยวกับ Tense ทั้ง 12 ควรทำอย่างไร?
สำหรับนักเรียนที่ต้องการเพิ่มการรู้จักเกี่ยวกับ Tense ทั้ง 12 ควรทำการศึกษาและฝึกฝนโดยการอ่าน ฟัง พูด และเขียน เพื่อเป็นการทำความเข้าใจในทางที่แท้จริงของการใช้ Tense
4. อะไรคือ Tense ที่ผู้เรียนบ่อยที่สุดที่แสดงการใช้เวลาในอดีต?
Tense ที่เรียนแสดงใช้เวลาในอดีตคือ Tense อดีต โดยกริยาช่องที่ 1 + “เเล้ว”
5. Tense อะไรที่ใช้เวลาในอนาคตและมีความสัมพันธ์กับ Tense อดีต?
Tense อนาคตเสร็จเป็น Tense ที่ใช้เวลาในอนาคต และเกี่ยวข้องกับการทำนายผลสัมพันธ์กับเหตุการณ์ในอดีต ดังนั้น เราต้องใช้ Tense อดีตเสร็จเพื่อแสดงผลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นในสถานการณ์ที่เราจะทำการใด ๆ ในอนาคต
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด Pdf
เนื้อหา:
ในภาษาอังกฤษ การใช้ Tense (เวลา) เป็นสิ่งสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในการเสนอภาษาและสื่อสาร ปัจจุบันมี Tense ทั้งหมด 12 ประเภทที่ใช้ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจก่อนที่จะสามารถอ่านเอกสาร PDF หรือเอกสารแบบอื่นๆ ที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและเข้าใจได้อย่างถูกต้อง
กรุณาอ่านต่อเพื่อรับรู้เกี่ยวกับ Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด:
1. Present Simple Tense (ปัจจุบันกาลธรรมดา)
Present Simple Tense ใช้ในกรณีที่เราพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ในประจำวันหรือเหตุการณ์ที่เป็นความจริง โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + Verb(s) in base form (e.g. I go to school every day).
2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลกำลังทำอยู่)
Present Continuous Tense ใช้เมื่อกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + Verb to be (am/is/are) + Verb + ing (e.g. She is reading a book right now).
3. Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลเสร็จสิ้นแล้ว)
Present Perfect Tense ใช้เมื่อเราต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่มีผลต่อปัจจุบัน โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + have/has + past participle (e.g. I have studied English for 5 years).
4. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลเสร็จสิ้นแบบต่อเนื่อง)
Present Perfect Continuous Tense ใช้เมื่อเราต้องการพูดถึงการกระทำที่เริ่มต้นในอดีต แต่ยังคงดำเนินการต่อมาในปัจจุบัน โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + have/has + been + Verb + ing (e.g. They have been playing football for 2 hours).
5. Past Simple Tense (อดีตกาลธรรมดา)
Past Simple Tense ใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์หรือเกิดเหตุฉุกเฉินในอดีตวันหนึ่ง โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + Verb in past form (e.g. I went to the park yesterday).
6. Past Continuous Tense (อดีตกาลกำลังทำอยู่)
Past Continuous Tense ใช้เมื่อกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตตลอดเวลา โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + was/were + Verb + ing (e.g. She was studying all night).
7. Past Perfect Tense (อดีตกาลเสร็จสิ้นแล้ว)
Past Perfect Tense ใช้เมื่อต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในอดีต โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + had + past participle (e.g. He had already eaten before I arrived).
8. Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลเสร็จสิ้นแบบต่อเนื่อง)
Past Perfect Continuous Tense ใช้เมื่อเราต้องการพูดถึงการกระทำที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงดำเนินการต่อมาในอดีต โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + had + been + Verb + ing (e.g. They had been waiting for 3 hours before the concert started).
9. Future Simple Tense (อนาคตกาลธรรมดา)
Future Simple Tense ใช้เมื่อเราต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + will + Verb (e.g. They will visit their grandparents next week).
10. Future Continuous Tense (อนาคตกาลกำลังทำอยู่)
Future Continuous Tense ใช้เมื่อเราต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตมาตลอดเวลา โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + will be + Verb + ing (e.g. I will be waiting for you when you arrive).
11. Future Perfect Tense (อนาคตกาลเสร็จสิ้นแล้ว)
Future Perfect Tense ใช้เมื่อต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในอนาคต โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + will have + past participle (e.g. She will have finished her work by the time you arrive).
12. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลเสร็จสิ้นแบบต่อเนื่อง)
Future Perfect Continuous Tense ใช้เมื่อเราต้องการพูดถึงการกระทำที่เริ่มต้นในอนาคตและยังคงดำเนินการต่อมาในอนาคต โครงสร้างประโยคของ Tense ชนิดนี้คือ Subject + will have been + Verb + ing (e.g. They will have been waiting for 4 hours by the time the movie starts).
FAQs (คำถามที่พบบ่อย):
Q: ทำไมเราต้องเรียน Tense ทั้ง 12?
A: มี Tense ทั้ง 12 เพื่อให้เราสามารถเลือกใช้ Tense ที่เหมาะสมกับบทความหรือแสดงความคิดเห็นในการอธิบายเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างถูกต้อง
Q: การใช้ Tense แตกต่างกันอย่างไรในประโยคบวกและประโยคประชด?
A: ในประโยคบวก เราใช้ Tense แบบที่เป็นนิสัย (Simple Tense) เช่น Present Simple, Past Simple, Future Simple ในขณะที่ในประโยคประชด เราใช้ Tense ที่เป็นการกระทำต่อเนื่อง (Continuous Tense) เช่น Present Continuous, Past Continuous, Future Continuous
Q: หากฉันใช้ Tense ผิดจะเกิดอะไรขึ้น?
A: การใช้ Tense ผิดอาจทำให้เข้าใจเนื้อหาหรือความสื่อสารไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจหรือสับสนเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังพูดถึง
ในสรุป Tense ทั้ง 12 เป็นส่วนสำคัญของภาษาอังกฤษที่เราควรทราบเป็นอย่างดี เพื่อให้เข้าใจและสื่อสารในภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tense และสามารถใช้งาน Tense ที่เหมาะสมในเอกสาร PDF หรือเอกสารอื่นๆ ที่คุณพบในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง
มี 50 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ โครงสร้างเท้น.
ลิงค์บทความ: โครงสร้างเท้น.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ โครงสร้างเท้น.
- สรุป Tense ทั้ง 12 ใช้ยังไง โครงสร้างประโยคของแต่ละ … – Sanook
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- 12 tense ในภาษาอังกฤษ: โครงสร้าง หลักการใช้ และสัญญาณ …
- สรุป 12 Tenses ภาษาอังกฤษอย่างง่าย – YouTube
- สรุป 4 tenses คู่ รู้ไว้ ตัดชอยส์ได้รัว ๆ อัปคะแนน TOEIC 750+ – OpenDurian
- Tense คืออะไร? แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง? การเ T
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- หลักการใช้ 12 Tense อย่างละเอียด พร้อมโครงสร้าง tense ที่สรุป …
- สรุป Tense ภาษาอังกฤษทั้ง 12 Tenses | by Chaiyapat | PIX7.ME
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
ดูเพิ่มเติม: lasbeautyvn.com/category/digital-studios