โครงสร้าง12 Tense: เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณเข้าใจการใช้ได้ทุกเหตุการณ์

The 12 Tenses in Thai – A Comprehensive Guide

Tense plays a crucial role in any language when it comes to expressing time and constructing meaningful sentences. In the Thai language, there are 12 tenses that are used to indicate different time frames, ranging from past, present, to future. Each tense serves a unique purpose and understanding their usage is essential for effective communication. In this article, we will delve into the details of each tense, explore their differences and provide examples to facilitate comprehension.

รายละเอียดการใช้งานแต่ละ tense (Details of Each Tense):

1. กาลอดุลย์ (Past Indefinite Tense):
This tense is used to describe an event or action that occurred in the past. It is commonly used when there is a specific time frame mentioned in the sentence. For example:
– เมื่อวานฉันไปเที่ยวที่ชายหาด (Yesterday, I went to the beach).

2. กาลที่ผ่านมา (Past Perfect Tense):
The past perfect tense indicates an action or event that was completed before another past event occurred. It is often used in conjunction with the past indefinite tense. For example:
– เมื่อฉันถึงบ้านแล้วพ่อฉันได้กินข้าวแล้ว (When I arrived home, my father had already eaten).

3. ปัจจุบันกาลที่ 1 (Present Indefinite Tense):
This tense is used to describe actions or events that are happening in the present. It is the most commonly used tense in everyday conversations. For example:
– ฉันอ่านหนังสืออยู่ (I am reading a book).

4. ปัจจุบันกาลที่ 2 (Present Continuous Tense):
The present continuous tense indicates an ongoing action that is happening at the present moment. It is formed by using the verb “กำลัง” (kamlang) and the verb in its base form. For example:
– เขากำลังเขียนบทความอยู่ในห้องนอน (He is writing an article in the bedroom).

5. ปัจจุบันกาลที่ 3 (Present Perfect Tense):
This tense is utilized to express an action or event that has recently happened or is still happening in the present. It is often accompanied by the adverb “เพิ่ง” (perng) or “มีอยู่” (mee yoo). For example:
– ฉันเพิ่งกลับมาจากเที่ยว (I have just returned from a trip).

6. ปัจจุบันกาลที่ 4 (Present Perfect Continuous Tense):
The present perfect continuous tense emphasizes an action that started in the past, is still happening in the present, and may continue into the future. It is formed by using “เป็นการ” (bpen gaan) followed by the verb “กำลัง” (kamlang) and the verb in its base form. For example:
– ฉันเป็นการทำงานหลายชั่วโมงแล้ว (I have been working for several hours).

7. ปัจจุบันกาลที่ 5 (Present Future Tense):
The present future tense is used to discuss future events or actions that are certain to happen. It is formed by using the verb “จะ” (ja) followed by the verb in its base form. For example:
– พรุ่งนี้ฉันจะไปเที่ยวสวนสัตว์ (Tomorrow, I will visit the zoo).

8. อนาคตกาลที่ 1 (Future Indefinite Tense):
This tense describes actions or events that will happen in the future. It is commonly used when there is a specific time frame mentioned in the sentence. For example:
– วันศุกร์หน้าฉันจะเดินทางไปเที่ยว (Next Friday, I will travel).

9. อนาคตกาลที่ 2 (Future Continuous Tense):
The future continuous tense expresses actions or events that will be happening at a specific moment in the future. It is formed by using “จะ” (ja) followed by the verb “กำลัง” (kamlang) and the verb in its base form. For example:
– ในช่วงเวลาใกล้ๆฉันจะกำลังหางาน (In the near future, I will be searching for a job).

10. อนาคตกาลที่ 3 (Future Perfect Tense):
This tense indicates an action or event that will be completed before another future event occurs. It is often used in conjunction with the future indefinite tense. For example:
– ภายในสองเดือนนี้เขาจะได้สำเร็จการศึกษา (Within these two months, he will have completed his studies).

11. อนาคตกาลที่ 4 (Future Perfect Continuous Tense):
The future perfect continuous tense highlights an ongoing action that will continue until a particular point in the future. It is formed by using “จะเป็นการ” (ja bpen gaan) followed by the verb “กำลัง” (kamlang) and the verb in its base form. For example:
– ภายในปีหน้าเขาจะเป็นการทำงานแบบฟรีแลนซ์ (Next year, he will have been working as a freelancer).

12. อนาคตกาลที่ 5 (Future Future Tense):
The future future tense is used to express actions or events that will take place in the distant future. It is formed by using “อีก” (eek) followed by a specific period of time and the future indefinite tense. For example:
– อีกหนึ่งปีข้างหน้าฉันจะซื้อบ้าน (In another year, I will buy a house).

Frequently Asked Questions:

Q1: What are the 12 tenses in Thai?
A1: The 12 tenses in Thai are: กาลอดุลย์ (Past Indefinite Tense), กาลที่ผ่านมา (Past Perfect Tense), ปัจจุบันกาลที่ 1 (Present Indefinite Tense), ปัจจุบันกาลที่ 2 (Present Continuous Tense), ปัจจุบันกาลที่ 3 (Present Perfect Tense), ปัจจุบันกาลที่ 4 (Present Perfect Continuous Tense), ปัจจุบันกาลที่ 5 (Present Future Tense), อนาคตกาลที่ 1 (Future Indefinite Tense), อนาคตกาลที่ 2 (Future Continuous Tense), อนาคตกาลที่ 3 (Future Perfect Tense), อนาคตกาลที่ 4 (Future Perfect Continuous Tense), and อนาคตกาลที่ 5 (Future Future Tense).

Q2: Are the 12 tenses easy to remember?
A2: While it may seem overwhelming at first, with practice and exposure to the language, the 12 tenses can become easier to grasp. Understanding their structures and patterns will aid in recalling their usage effectively.

Q3: What is the definition of “tense”?
A3: Tense refers to the grammatical concept of time, which indicates when an action or event occurs. In the Thai language, tense plays a fundamental role in constructing meaningful sentences and conveying time frames accurately.

In conclusion, understanding the 12 tenses in the Thai language is crucial for effective communication. Each tense serves a unique purpose, whether it is indicating an action in the past, present, or future. With practice and exposure to the language, mastering the usage of tenses will contribute to the fluency and accuracy of one’s Thai language skills.

โดยภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความซับซ้อนและจำนวนคำศัพท์มากที่สุดในโลก ทั้งนี้เนื่องจากภาษาไทยมี “ตัณหา” (Tense) ทั้งหมด ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ก็จึงเป็นที่มาของความยากลำบากในการเรียนรู้และใช้งาน การที่เราทราบถึง “ตัณหา” ในภาษาไทยอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเข้าใจและใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ในบทความนี้ เราจะมาทำความคุ้นเคยกับ “ตัณหา” (Tense) ทั้ง 12 อย่างละเอียด เพื่อให้ทุกคนสามารถเรียนรู้และใช้งานตัณหาในภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง

1. ตัณหาการกระทำปัจจุบัน (Present Simple Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ตัวอย่าง: ฉันทำงานทุกวัน (I work every day)

2. ตัณหาการกระทำขณะนี้ (Present Continuous Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นขณะนั้น
ตัวอย่าง: เขากำลังทำการบ้านอยู่ในขณะนี้ (He is doing his homework right now)

3. ตัณหาการกระทำในอนาคต (Future Simple Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่าง: พรุ่งนี้เขาจะไปที่มหาวิทยาลัย (Tomorrow, he will go to university)

4. ตัณหาการประกอบขณะกำลังกระทำ (Present Perfect Continuous Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงการกระทำที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาในอดีตและยังคงเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
ตัวอย่าง: เขาได้ทำงานที่นี่มาตั้งแต่เดือนมกราคม (He has been working here since January)

5. ตัณหาการประกอบของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต (Past Simple Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและเสร็จสิ้นแล้ว
ตัวอย่าง: เขาไปเที่ยวที่ชายหาดเมื่อเดือนที่แล้ว (He went to the beach last month)

6. ตัณหาการประกอบของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแต่กำลังดำเนินการต่อไปอยู่ (Past Continuous Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงดำเนินการอยู่ในตอนนั้นอยู่
ตัวอย่าง: เมื่อเห็นเขาที่ฉันกินอาหาร เขากลัวและกิจกรรมก็หยุดไม่เป็น (When he saw me eating, he got scared and his activities stopped)

7. ตัณหาการประกอบของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่เสร็จสิ้นแล้วในอดีต (Past Perfect Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์หรือการกระทำอื่นๆในอดีต
ตัวอย่าง: เมื่อเขามาถึงสนามบิน เครื่องบินก็ให้วิ่งไปแล้ว (By the time he arrived at the airport, the plane had already departed)

8. ตัณหาการประกอบของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน (Present Perfect Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
ตัวอย่าง: เขาได้ตามหางานใหม่แล้ว (He has found a new job)

9. ตัณหาการประกอบของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตหลังการเกิดเหตุการณ์นั้นๆ (Past Perfect Continuous Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนและยังคงเกิดอยู่ในอดีตหลังการเกิดเหตุการณ์นั้นๆ
ตัวอย่าง: เมื่อเขามาถึง เขากำลังเป็นที่รีบ (By the time he arrived, he had been running)

10. ตัณหาการกระทำในอนาคตขณะกำลังดำเนินการ (Future Continuous Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและจะยังดำเนินการอยู่ต่อไป
ตัวอย่าง: พรุ่งนี้กำลังนอนอยู่ (Tomorrow, I will be sleeping)

11. ตัณหาการกระทำในอนาคตไกล (Future Perfect Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและจะเสร็จสิ้นไปแล้วโดยเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
ตัวอย่าง: ผมจะเข้าร่วมงานอบรมและเรียนรู้ข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมก่อนปีหน้า (I will have attended training and learned more information before next year)

12. ตัณหาการกระทำในอนาคตขณะกำลังดำเนินการ (Future Perfect Continuous Tense)
ตัณหานี้ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอนาคตและจะยังคงดำเนินการอยู่ต่อไปจนถึงตอนท้ายของอนาคต
ตัวอย่าง: ผมจะกำลังเติบโตมาตรฐานการทำงานตั้งแต่เริ่มงานจนถึงเทปสุดท้ายของปี (I will have been growing my work standard since the beginning of the year until the end)

แม้ว่าการใช้ “ตัณหา” ทั้ง 12 ย่อมซับซ้อน และอาจทำให้คุณรู้สึกยากได้ แต่ความสำคัญที่จะทราบและใช้งาน “ตัณหา” ถูกต้องในภาษาไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาษาไทยเป็นภาษาที่มีรางวัลมากให้กับความถูกต้อง และการใช้ภาษาครบถ้วนทางวลีภาษา ซึ่งจะสื่อความหมายอย่างถูกต้องและชัดเจนให้กับผู้ฟังหรือผู้อ่าน

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. ใครบ้างที่ควรเรียนรู้เกี่ยวกับ “ตัณหา” ทั้ง 12 อย่างนี้?
ทุกคนที่ต้องการเรียนรู้และใช้งานภาษาไทยอย่างถูกต้องควรทราบเกี่ยวกับ “ตัณหา” ทั้ง 12 อย่างนี้

2. การใช้ “ตัณหา” ทำให้เราสื่อความหมายอย่างละเอียดของประโยคในภาษาไทยได้หรือไม่?
ใช่ การใช้ “ตัณหา” จะช่วยให้เราสื่อความหมายในประโยคได้อย่างชัดเจนและถูกต้องมากขึ้น

3. การใช้ “ตัณหา” ทำให้ภาษาไทยมีความซับซ้อนอย่างมากขึ้นหรือไม่?
ใช่ เนื่องจากมีจำนวน “ตัณหา” ที่ต่างกันอย่างชัดเจน การใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องจึงต้องปฏิบัติตามกฎและรูปแบบต่างๆเพื่อให้สะท้อนความหมายที่ถูกต้องในประโยค

4. ควรเรียนรู้การใช้ “ตัณหา” อย่างละเอียดหรือไม่?
ควร การรู้และเข้าใจ “ตัณหา” ทั้ง 12 อย่างนี้อย่างละเอียดจะช่วยให้เราใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ

5. การศึกษา “ตัณหา” ทั้ง 12 อย่างนี้ซับซ้อนและยากหรือไม่?
อาจจะซับซ้อนและยากต่อบางคน แต่โดยรวมแล้ว การศึกษาและปฏิบัติตามกฎและรูปแบบการใช้งานที่ถูกต้องจะช่วยให้เราเข้าใจและใช้งาน “ตัณหา” ได้อย่างถูกต้อง ทราบแล้วว่า “ตัณหา” ทั้ง 12 มีอะไรบ้าง เราสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจได้ ในการใช้งานภาษาไทยในชีวิตประจำวัน

ในสรุป การรู้และเข้าใจการใช้ “ตัณหา” (Tense) ทั้ง 12 อย่างนี้จะช่วยให้เราใช้งานภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง โดย

ทั้ง 12 นั้นคือรูปแบบประโยคที่เราใช้เพื่อแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ ในภาษาไทย โดยแต่ละรูปแบบจะมีลักษณะและบทบาทที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับ tense ทั้ง 12 พร้อมกับตัวอย่างที่ช่วยให้เราเข้าใจในแบบปฏิบัติอีกด้วย

รูปแบบ Tense และตัวอย่าง

1. Present Simple Tense (ปัจจุบันกาลธรรมดา)
ใช้เมื่อกำลังพูดถึงคำบอกเล่าความจริงหรือสภาพที่เป็นเรื่องทั่วไปที่เป็นจริงเสมอ
ตัวอย่าง: เขาเป็นครู (He is a teacher.)

2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลกำลังทำ)
ใช้เมื่อกำลังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้
ตัวอย่าง: เขากำลังเรียน (He is studying.)

3. Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลเต็มที่)
ใช้เมื่อกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังมีผลต่อปัจจุบัน
ตัวอย่าง: เขาเคยไปปารีส (He has been to Paris.)

4. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลเต็มที่แบบต่อเนื่อง)
ใช้เมื่อกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่เริ่มขึ้นในอดีตและยังคงต่อเนื่องไปจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่าง: เขาได้ทำงานนี้มาเป็นสองชั่วโมงแล้ว (He has been working on this for two hours.)

5. Past Simple Tense (อดีตกาลธรรมดา)
ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือสภาพที่เกิดขึ้นในอดีตและจบลงแล้ว
ตัวอย่าง: เขาไปเมืองหนองคายเมื่อวาน (He went to Nong Khai yesterday.)

6. Past Continuous Tense (อดีตกาลกำลังทำ)
ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในอดีต
ตัวอย่าง: เขากำลังอ่านหนังสือเมื่อมีคนโทรเข้ามา (He was reading a book when someone called.)

7. Past Perfect Tense (อดีตกาลเต็มที่)
ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์อื่นในอดีต
ตัวอย่าง: เขาเคยไปปารีสก่อนที่จะไปเบอร์ลิน (He had been to Paris before he went to Berlin.)

8. Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลเต็มที่แบบต่อเนื่อง)
ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นในอดีตก่อนเหตุการณ์อื่น ๆ และยังคงดำเนินการเป็นเวลานาน
ตัวอย่าง: เขาได้ทำงานนี้มาเป็นสองชั่วโมงก่อนที่ผมจะมาเป็นพลเมือง (He had been working on this for two hours before I arrived.)

9. Future Simple Tense (อนาคตกาลธรรมดา)
ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือสภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่าง: เขาจะไปเมืองชัยภูมิในวันพรุ่งนี้ (He will go to Chaiyaphum tomorrow.)

10. Future Continuous Tense (อนาคตกาลกำลังทำ)
ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะกำลังเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่าง: เขาจะกำลังเรียนตลอดเทอมหน้า (He will be studying throughout the next semester.)

11. Future Perfect Tense (อนาคตกาลเต็มที่)
ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนเวลาหนึ่งในอนาคต
ตัวอย่าง: เขาจะไปปารีสก่อนที่จะเดินทางไปเบอร์ลิน (He will have gone to Paris before he travels to Berlin.)

12. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลเต็มที่แบบต่อเนื่อง)
ใช้เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เริ่มจากอนาคตและยังคงดำเนินการเป็นเวลาโดยไม่สิ้นสุดในอนาคต
ตัวอย่าง: เขาจะได้ทำงานนี้มาเป็นสองชั่วโมงในอนาคต (He will have been working on this for two hours in the future.)

FAQs

1. Tense ทั้ง 12 แตกต่างกันอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว tense แตกต่างกันตามเวลาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กล่าวถึง ในขณะที่บางประโยคจะใช้เพื่ออธิบายสภาพการณ์ในปัจจุบัน อีกบางประโยคอาจใช้ในการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหรืออนาคต

2. จะเลือกใช้รูปแบบ Tense อย่างไรให้ถูกต้อง?
การเลือกใช้รูปแบบ Tense ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เราต้องการอธิบาย ควรพิจารณาว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในปัจจุบัน อดีต หรืออนาคต แล้วเลือกใช้ tense ที่เหมาะสม

3. มีเคล็ดลับในการเรียนรู้ Tense ทั้ง 12 ไหม?
เรียนรู้ Tense ทั้ง 12 อาจใช้เวลาและประสบการณ์ในการฝึกฝน สามารถฝึกเขียนประโยคตามแต่ละรูปแบบแล้วตรวจสอบเทียบกับตัวอย่างที่ให้มาเพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจและใช้งานได้อย่างถูกต้อง

ในการศึกษาหัวข้อ Tense ทั้ง 12 นี้ จะต้องให้ความสำคัญกับความรู้และความเข้าใจในแต่ละรูปแบบ เพราะการใช้เหมาะสมและถูกต้องของ Tense ในการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดความสามารถในการสื่อสารของเรา ความคล่องตัวในการใช้ Tense ทั้ง 12 จะช่วยให้เราสื่อสารอย่างถูกต้องและเข้าใจกันได้ดีมากขึ้น

พบ 48 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ โครงสร้าง12 tense.