โครงสร้าง Tense ทั้ง 12
โครงสร้าง Tense ทั้ง 12 เป็นส่วนสำคัญและพื้นฐานในการศึกษาภาษาอังกฤษ เนื่องจากการใช้งาน Tense จะส่งผลต่อเวลาในเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น หรือที่เราทำหรือกระทำอย่างไรบางอย่างในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต ในภาษาไทย เรามักจะใช้รูปแสดงเวลาโดยตรง เช่น “ก่อนหน้านี้” หรือ “ในอนาคต” แต่ในภาษาอังกฤษ เราจะใช้ Tense เพื่อสื่อสารเวลาอย่างถูกต้องและเป็นระเบียบ ในบทความนี้ เราจะทบทวนโครงสร้าง Tense ทั้ง 12 ในภาษาไทย และกล่าวถึงความหมายและการใช้งานของแต่ละ Tense นอกจากนี้ เรายังมีส่วน FAQ ที่สิ้นสุดเพื่อแก้ไขคำถามที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีความสับสนเกี่ยวกับ Tense
1. การอธิบายโครงสร้าง Tense ทั้ง 12
Tense ทั้ง 12 ประกอบด้วย:
1. Simple Present Tense (ปัจจุบันกาลธรรมดา)
2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง)
3. Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์)
4. Simple Past Tense (อดีตกาลธรรมดา)
5. Past Continuous Tense (อดีตกาลต่อเนื่อง)
6. Past Perfect Tense (อดีตกาลสมบูรณ์)
7. Simple Future Tense (อนาคตกาลธรรมดา)
8. Future Continuous Tense (อนาคตกาลต่อเนื่อง)
9. Future Perfect Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์)
10. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
11. Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
12. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
แต่ละ Tense จะมีรูปแบบการใช้งานและเวลาที่เหมาะสมที่แตกต่างกัน
2. ความหมายและการใช้งาน Tense ทั้ง 12
– Simple Present Tense (ปัจจุบันกาลธรรมดา): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เป็นรูปแบบปกติหรือเป็นความจริงที่มีอยู่ชั่วคราว และไม่ได้เกิดขึ้นในโดยเฉพาะ
– Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น
– Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่มีผลต่อปัจจุบัน
– Simple Past Tense (อดีตกาลธรรมดา): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
– Past Continuous Tense (อดีตกาลต่อเนื่อง): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตเป็นระยะเวลา
– Past Perfect Tense (อดีตกาลสมบูรณ์): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในอดีต
– Simple Future Tense (อนาคตกาลธรรมดา): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
– Future Continuous Tense (อนาคตกาลต่อเนื่อง): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่จะกำลังเกิดขึ้นในอนาคตเป็นระยะเวลา
– Future Perfect Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในอนาคต
– Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงเกิดอยู่ในปัจจุบัน
– Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นและสิ้นสุดในอดีตและมีผลเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอดีตอื่น
– Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง): ใช้เมื่อเรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเริ่มต้นและสิ้นสุดก่อนเวลาที่กล่าวถึงในอนาคตและยังคงเกิดอยู่ในอนาคต
3. Tense ช่องกระตุ้น (Simple Present Tense)
Simple Present Tense ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์หรือขอบเขตที่คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง หรือเกิดขึ้นเป็นประจำ
โครงสร้าง: S + V (+ s/es) + O
– S: Subject (ประธาน)
– V: Verb (กริยา)
– O: Object (กรรม)
ตัวอย่างประโยค:
– I play football every Saturday. (ฉันเล่นฟุตบอลทุกวันเสาร์)
– He goes to school by bus. (เขาไปโรงเรียนโดยรถเมล์)
4. Tense ช่วงเวลาของเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น (Present Continuous Tense)
Present Continuous Tense ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้นในเวลาปัจจุบัน
โครงสร้าง: S + be (am/is/are) + V-ing + O
– S: Subject (ประธาน)
– be: กริยาช่วย (am/is/are)
– V-ing: Gerund (กริยาที่ใช้เป็นการกระทำ)
– O: Object (กรรม)
ตัวอย่างประโยค:
– They are studying English at the moment. (พวกเขากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในขณะนี้)
– She is cooking dinner for her family. (เธอกำลังทำข้าวเย็นสำหรับครอบครัวของเธอ)
5. Tense ที่ใช้เมื่อเราทำหรือกระทำอะไรบางอย่าง (Present Perfect Tense)
Present Perfect Tense ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอดีตแต่ต่อมาส่งผลต่อปัจจุบัน
โครงสร้าง: S + have/has + V-ed/V3 + O
– S: Subject (ประธาน)
– have/has: กริยาช่วย (have/has)
– V-ed/V3: Past Participle (กริยาที่สิ้นสุดลงในอดีต)
– O: Object (กรรม)
ตัวอย่างประโยค:
– We have visited Paris twice. (เราไปเยี่ยมชมปารีสสองครั้ง)
– She has worked at the company for five years. (เธอทำงานในบริษัทมาเป็นเวลาห้าปี)
6. Tense ที่ใช้เมื่อเราทำหรือกระทำอะไรบางอย่างในอดีต (Simple Past Tense)
Simple Past Tense ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงในอดีต
โครงสร้าง: S + V2/V-ed + O
– S: Subject (ประธาน)
– V2/V-ed: Past Simple (กริย
12 Tenses ครบในคลิปเดียว! | เรียน Grammar ภาษาอังกฤษฟรี กับครูดิว
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: โครงสร้าง tense ทั้ง 12 tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด, tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt, สรุป tense เข้าใจง่าย, 12 tense จำง่าย, 12 tense มีอะไรบ้าง, โครงสร้าง Tense
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ โครงสร้าง tense ทั้ง 12
หมวดหมู่: Top 10 โครงสร้าง Tense ทั้ง 12
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด Pdf
ภาษาไทยมีเพียงหนึ่งชนิดกริยาเท่านั้น คือ กริยาที่ออกเสียงตำต่ำเท่านั้น ซึ่งออกเสียงใกล้เคียงกับสระต่ำและสระเบียดที่สุด ที่เท่ากัน
กริยาในภาษาไทยถือว่ามีลักษณะที่ตกแต่งเฉพาะตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่นับอยู่ในรูปเก่า รูปใหม่ นายกายอย่างละเอียดและข้อโต้เถียงของอดีต
กริยาแต่ละข้อของภาษาไทย หรือที่เรียกกันว่ากริยาพหูพจน์ ประกอบด้วยการกำหนดลักษณะของกริยาให้แสดงทัศนคติย่อยในลักษณะกริยา และที่เรียกว่ากริยาคุณศัพท์ ที่จะใช้แสดงถึงการกระทำของเรา โดยให้กริยาแสดงคนหรือสถานะขึ้นในกริยา
นอกเหนือจากกริยาในภาษาไทย เรายังมีรูปกริยาอีกรูปหนึ่งที่เรียกว่ารูปกริยาร่วม ที่จะใช้แสดงถึงความเป็นกริยาของท่านอื่นๆ ข้อดีของกริยาร่วมนี้คือ เวลาใช้แสดงถึงการกระทำนั้นถ้าเราทำผิดรูปของกริยาร่วมเมื่อใช้กับกรรม (กริยารับ) ออกมาผิด เราจะเป็นสิบสี่ปัญหามากพอที่ว่าจะแก้ไข
โดยทั้งนี้กริยาในภาษาไทยแต่ละข้อ จะมีเงื่อนไขประมาณว่า ในช่วงที่ 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22, 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32, 33, 34, 35, 36, 37, 38, 39, 40, 41, 42, 43, 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50, 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57, 58, 59, 60, 61, 62, 63, 64, 65, 66, 67, 68, 69, 70, 71, 72, 73, 74, 75, 76, 77, 78, 79, 80, 81, 82, 83, 84, 85, 86, 87, 88, 89, 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96, 97, 98, 99, 100, 101, 102, 103, 104, 105, 106, 107, 108, 109, 110, 111, 112, 113, 114, 115, 116, 117, 118, 119, 120, 121, 122, 123, 124, 125, 126, 127, 128, 129, 130, 131, 132, 133, 134, 135, 136, 137, 138, 139, 140, 141, 142, 143, 144, 145, 146, 147, 148, 149, 150, 151, 152, 153, 154, 155, 156, 157, 158, 159, 160, 161, 162, 163, 164, 165, 166, 167, 168, 169, 170, 171, 172, 173, 174, 175, 176, 177, 178, 179, 180, 181, 182, 183, 184, 185, 186, 187, 188, 189, 190, 191, 192, 193, 194, 195, 196, 197, 198, 199, 200, 201, 202, 203, 204, 205, 206, 207, 208, 209, 210, 211, 212, 213, 214, 215, 216, 217, 218, 219, 220, 221, 222, 223, 224, 225, 226, 227, 228, 229, 230, 231, 232, 233, 234, 235, 236, 237, 238, 239, 240, 241, 242, 243, 244, 245, 246, 247, 248, 249, 250, 251, 252, 253, 254, 255, 256, 257, 258, 259, 260, 261, 262, 263, 264, 265, 266, 267, 268, 269, 270, 271, 272, 273, 274, 275, 276, 277, 278, 279, 280, 281, 282, 283, 284, 285, 286, 287, 288, 289, 290, 291, 292, 293, 294, 295, 296, 297, 298, 299, 300, 301, 302, 303, 304, 305, 306, 307, 308, 309, 310, 311, 312, 313, 314, 315, 316, 317, 318, 319, 320, 321, 322, 323, 324, 325, 326, 327, 328, 329, 330, 331, 332, 333, 334, 335, 336, 337, 338, 339, 340, 341, 342, 343, 344, 345, 346, 347, 348, 349, 350, 351, 352, 353, 354, 355, 356, 357, 358, 359, 360, 361, 362, 363, 364, 365, 366, 367, 368, 369, 370, 371, 372, 373, 374, 375, 376, 377, 378, 379, 380, 381, 382, 383, 384, 385, 386, 387, 388, 389, 390, 391, 392, 393, 394, 395, 396, 397, 398, 399, 400, 401, 402, 403, 404, 405, 406, 407, 408, 409, 410, 411, 412, 413, 414, 415, 416, 417, 418, 419, 420, 421, 422, 423, 424, 425, 426, 427, 428, 429, 430, 431, 432, 433, 434, 435, 436, 437, 438, 439, 440, 441, 442, 443, 444, 445, 446, 447, 448, 449, 450, 451, 452, 453, 454, 455, 456, 457, 458, 459, 460, 461, 462, 463, 464, 465, 466, 467, 468, 469, 470, 471, 472, 473, 474, 475, 476, 477, 478, 479, 480, 481, 482, 483, 484, 485, 486, 487, 488, 489, 490, 491, 492, 493, 494, 495, 496, 497, 498, 499, 500, 501, 502, 503, 504, 505, 506, 507, 508, 509, 510, 511, 512, 513, 514, 515, 516, 517, 518, 519, 520, 521, 522, 523, 524, 525, 526, 527, 528, 529, 530, 531, 532, 533, 534, 535, 536, 537, 538, 539, 540, 541, 542, 543, 544, 545, 546, 547, 548, 549, 550, 551, 552, 553, 554, 555, 556, 557, 558, 559, 560, 561, 562, 563, 564, 565, 566, 567, 568, 569, 570, 571, 572, 573, 574, 575, 576, 577, 578, 579, 580, 581, 582, 583, 584, 585, 586, 587, 588, 589, 590, 591, 592, 593, 594, 595, 596, 597, 598, 599, 600, 601, 602, 603, 604, 605, 606, 607, 608, 609, 610, 611, 612, 613, 614, 615, 616, 617, 618, 619, 620, 621, 622, 623, 624, 625, 626, 627, 628, 629, 630, 631, 632, 633, 634, 635, 636, 637, 638, 639, 640, 641, 642, 643, 644, 645, 646, 647, 648, 649, 650, 651, 652, 653, 654, 655, 656, 657, 658, 659, 660, 661, 662, 663, 664, 665, 666, 667, 668, 669, 670, 671, 672, 673, 674, 675, 676, 677, 678, 679, 680, 681, 682, 683, 684, 685, 686, 687, 688, 689, 690, 691, 692, 693, 694, 695, 696, 697, 698, 699, 700, 701, 702, 703, 704, 705, 706, 707, 708, 709, 710, 711, 712, 713, 714, 715, 716, 717, 718, 719, 720, 721, 722, 723, 724, 725, 726, 727, 728, 729, 730, 731, 732, 733, 734, 735, 736, 737, 738, 739, 740, 741, 742, 743, 744, 745, 746, 747, 748, 749, 750, 751, 752, 753, 754, 755, 756, 757, 758, 759, 760, 761, 762, 763, 764, 765, 766, 767, 768, 769, 770, 771, 772, 773, 774, 775, 776, 777, 778, 779, 780, 781, 782, 783, 784, 785, 786, 787, 788, 789, 790, 791, 792, 793, 794, 795, 796, 797, 798, 799, 800 ออกมาเหมือนความสมบูรณ์ของกริยาไทย
FAQs:
Q: กริยาคืออะไร?
A: กริยาคือประโยคยาวหรือประโยคเอื้อมมาแต่กำลังที่รูปเดียว แบ่งเป็น กริยาที่ออกเสียงขยายและกริยาที่ออกเสียงตำต่ำ
Q: ในภาษาไทยมีกี่ชนิดของกริยา?
A: ภาษาไทยมีเพียงหนึ่งชนิดกริยา คือ กริยาที่ออกเสียงตำต่ำเท่านั้น
Q: กริยาในภาษาไทยมีลักษณะอย่างไร?
A: กริยาในภาษาไทยมีลักษณะที่ตกแต่งเฉพาะตัวเอง ไม่นับอยู่ในรูปเก่า และรูปใหม่ นายกายอย่างละเอียดและข้อโต้เถียงของอดีต
Q: กริยาแต่ละข้อของภาษาไทยประกอบด้วยอะไรบ้าง?
A: กริยาแต่ละข้อของภาษาไทยประกอบด้วยการกำหนดลักษณะของกริยาให้แสดงทัศนคติย่อยในลักษณะกริยาและกริยาคุณศัพท์
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด
1. Present Simple Tense (ของผันรูปที่ 3 : แต่งรูปปกติโดยเติม s/es หลังกริยา)
Present Simple Tense เป็น Tense ที่ใช้เพื่อแสดงการกระทำหรือสถานะที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมดา โดยใช้กริยาในรูปปกติ โดยประกอบด้วยกริยา + s/es (ในขณะที่กริยาในเฉพาะกรณีกริยาซึ่งเป็นตัวพยัญชนะ อย่างเช่น : work, play, study) เช่น “She works at a bank.”
2. Present Continuous Tense
Present Continuous Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยใช้กริยาช่วย “be” ในรูปปัจจุบัน (is, am, are) + V-ing หรือกริยาช่วย “be” ในรูปปัจจุบัน + “ซึ่งเป็นกริยาช่วย” + V-ing เช่น “He is reading a book now.”
3. Present Perfect Tense
Present Perfect Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและมีผลต่อปัจจุบัน โดยใช้กริยาช่วย “have / has” + V3 (กริยาช่อง 3) เช่น “I have seen that movie before.”
4. Present Perfect Continuous Tense
Present Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยใช้กริยาช่วย “have / has” + been + V-ing เช่น “She has been studying English for three hours.”
5. Past Simple Tense
Past Simple Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต โดยใช้กริยาในรูปที่สามหรือรูปที่สองของกริยาเดิม เช่น “I played soccer yesterday.”
6. Past Continuous Tense
Past Continuous Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและอยู่ในช่วงเวลาที่เกิดเสร็จหรือยังไม่เสร็จ โดยใช้กริยาช่วย “was / were” + V-ing เช่น “They were watching TV when the phone rang.”
7. Past Perfect Tense
Past Perfect Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนการกระทำอื่นในอดีต โดยใช้กริยาช่วย “had” + V3 เช่น “He had already eaten when I arrived.”
8. Past Perfect Continuous Tense
Past Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานในอดีต โดยใช้กริยาช่วย “had” + been + V-ing เช่น “She had been working for ten hours before she took a break.”
9. Future Simple Tense
Future Simple Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยใช้ “will / shall” + V1 (กริยาช่วง 1) เช่น “I will meet you at the park tomorrow.”
10. Future Continuous Tense
Future Continuous Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่จะกำลังเกิดขึ้นในอนาคต โดยใช้ “will / shall be” + V-ing เช่น “They will be studying for the exam this time tomorrow.”
11. Future Perfect Tense
Future Perfect Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและจะเสร็จสิ้นในอนาคต โดยใช้ “will / shall have” + V3 เช่น “By the time you arrive, I will have finished cooking dinner.”
12. Future Perfect Continuous Tense
Future Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและจะยังคงเกิดขึ้นในอนาคต โดยใช้ “will / shall have been” + V-ing เช่น “They will have been working here for five years by the end of this month.”
ทุก Tense ในภาษาอังกฤษสามารถนำไปใช้ในเชื่อมโยงความเป็นเหตุเป็นผลสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต อีกทั้งยังสามารถใช้ในประโยคบอกเล่าเหตุการณ์ เวลา หรือสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และกระชับ
คำถามที่พบบ่อย (FAQs):
1. ควรจะเรียนรู้ Tense กี่รูปแบบ?
เราควรจะเรียนรู้ทั้ง 12 รูปแบบของ Tense เพื่อที่จะสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ถูกต้องและคล่องตัว
2. การใช้ Tense ผิดจะมีผลต่อการสื่อสารหรือไม่?
การใช้ Tense ผิดอาจทำให้ความหมายหรือความคล่องตัวของประโยคเปลี่ยนไป ทำให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดได้
3. การเรียนรู้ Tense ต้องการเวลานานหรือไม่?
การเรียนรู้ Tense ต้องการเวลาในการฝึกฝนและฝึกปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าใจและนำไปใช้ได้ถูกต้อง แต่ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานมาก
4. มีวิธีที่ช่วยในการจำ Tense ได้ง่ายขึ้นหรือไม่?
การอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือดูภาพยนตร์ที่ใช้ Tense ต่างๆ อาจช่วยในการจำ Tense ได้ง่ายขึ้น
Tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง
ในภาษาไทย เรามี tense ทั้งหมด 12 ชนิด ต่อไปนี้คือเครื่องหมาย tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่างเพื่อให้คุณเข้าใจและนำไปใช้ในภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง:
1. ปัจจุบันกาลธรรมดา (Simple Present)
ใช้สำหรับกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเป็นความจริงเสมอ ไม่ขึ้นกับเหตุการณ์ไหนที่เกิดขึ้นในอดีตหรืออนาคต
ตัวอย่าง: เขาเรียนวันจันทร์และวันพฤหัสบดี (He studies on Mondays and Thursdays)
2. ปัจจุบันกาลสมบูรณาญาณ (Present Continuous)
ใช้กับกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่ในระหว่างการพูดหรือเขียน
ตัวอย่าง: เขากำลังเล่นเกม (He is playing a game)
3. ปัจจุบันกาลเน้นความเป็นจริง (Present Perfect)
ใช้เพื่อแสดงกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังมีผลต่อปัจจุบันได้ เช่นการกระทำในอดีตที่มีผลกับปัจจุบัน
ตัวอย่าง: เขาเคยมีประสบการณ์ในการทำงานที่ดี (He has had good job experiences)
4. ปัจจุบันกาลเน้นการกระทำและเวลาที่เกิดขึ้น (Present Perfect Continuous)
ใช้เพื่อแสดงกระทำที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงเกิดต่อเนื่องไปจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่าง: เขาได้ทำงานให้เกิดผลสำเร็จมาเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว (He has been working for two hours)
5. อดีตกาลธรรมดา (Simple Past)
ใช้เพื่อแสดงกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งสิ้นสุดลงแล้ว และไม่มีผลกระทบกับปัจจุบัน
ตัวอย่าง: เขาออกไปเที่ยวที่ปารีส (He visited Paris)
6. อดีตกาลสมบูรณาญาณ (Past Continuous)
ใช้เพื่อแสดงกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต และยังเกิดต่อเนื่องไปจนถึงจุดหนึ่งในอดีต
ตัวอย่าง: เขากำลังเดินอยู่ในทางที่สวยงามเมื่อฝนตก (He was walking in a beautiful path when it started raining)
7. อดีตกาลเน้นความเป็นจริง (Past Perfect)
ใช้กับกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตแต่มีผลต่อเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นในอดีตอีก
ตัวอย่าง: เขาหนีออกจากเมืองก่อนที่เสียชีวิต (He had escaped the town before he died)
8. อดีตกาลเน้นเวลาและกระทำการเกิดขึ้น (Past Perfect Continuous)
ใช้เพื่อแสดงกระทำที่ทำงานอยู่ในอดีตก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ตัวอย่าง: เขาได้ทำงานรับเขียนเป็นเวลา 3 ชั่วโมงก่อนที่มีการเรียกร้อง (He had been writing for 3 hours before he was called)
9. อนาคตกาลธรรมดา (Simple Future)
ใช้กับกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยไม่ขึ้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน
ตัวอย่าง: เขาจะไปทำงานในบริษัทใหม่ (He will work at a new company)
10. อนาคตกาลสมบูรณาญาณ (Future Continuous)
ใช้เพื่อแสดงกระทำที่จะกำลังเกิดขึ้นในอนาคต และจะยังคงเกิดต่อไปจนถึงจุดหนึ่งในอนาคต
ตัวอย่าง: เราจะกำลังเดินในทางที่เราต้องการอยู่ (We will be walking on the path we desire)
11. อนาคตกาลเน้นความเป็นจริง (Future Perfect)
ใช้กับกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเสร็จสิ้นภารกิจก่อนเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตอีก
ตัวอย่าง: เขาจะได้รับเงินเดือนครบ 1 ล้านบาทถ้าเขาทำงานเจ็ดวันต่อเนื่อง (He will have earned 1 million baht if he works for seven consecutive days)
12. อนาคตกาลเน้นเวลาและกระทำเกิดขึ้น (Future Perfect Continuous)
ใช้เพื่อแสดงกระทำที่จะเริ่มต้นในอนาคตและยังคงเกิดต่อเนื่องไปจนถึงจุดหนึ่งในอนาคต
ตัวอย่าง: เขาจะมีการทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งปี (He will have been working continuously for one year)
FAQs:
Q: ในภาษาไทย การเปลี่ยน tense จะเปลี่ยนคำไหนบ้าง?
A: คำที่เปลี่ยนบ่งบอกถึง tense คือคำกริยาหรือคำเพื่อนข้างกริยา
Q: การใช้ tense ผิดๆ จะทำให้การเข้าใจผิดได้หรือไม่?
A: ใช่ การใช้ tense ผิดๆ อาจทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยนไป และอาจก่อให้เกิดความสับสนในการเข้าใจ
Q: การใช้ tense ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร?
A: เพื่อให้ใช้ tense ถูกต้อง คุณควรเรียนรู้กฎและแนวทางในแต่ละ tense เช่นการเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตหรืออนาคต ความปกติหรือเงื่อนไข และอื่นๆ
Q: ฉันสามารถฝึกการใช้ tense อย่างไร?
A: ฝึกการใช้ tense โดยการอ่านและเขียนประโยคต่างๆ โดยใช้แต่ละ tense ที่ต้องการฝึก และรู้จักเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่มีอยู่ในหนังสือ เว็บไซต์ หรือบทความอื่นๆ
การใช้ tense เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ภาษา ภาษาไทยมี tense ทั้ง 12 ตัว แต่ละตัวมีหลักการใช้และความหมายที่แตกต่างกัน เพื่อเข้าใจและใช้งานในภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ควรศึกษาและฝึกปฏิบัติเป็นระยะเวลานาน เมื่อคุณเริ่มรู้จักภาษาไทยในแบบนี้ คุณก็จะมีฐานะที่แข็งแรงในการสื่อสารในภาษาไทย
พบ 31 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ โครงสร้าง tense ทั้ง 12.
ลิงค์บทความ: โครงสร้าง tense ทั้ง 12.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ โครงสร้าง tense ทั้ง 12.
- สรุป Tense ทั้ง 12 ใช้ยังไง โครงสร้างประโยคของแต่ละ …
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
- สรุป Tense ภาษาอังกฤษทั้ง 12 Tenses | by Chaiyapat | PIX7.ME
- สรุป 12 Tense ภาษาอังกฤษ จำง่าย ใช้ได้ตลอดชีวิต! – OpenDurian
- โครงสร้าง 12 tenses หลักการและวิธีการใช้ tense ทั้ง 12 | ภาษาอังกฤษ
- สรุปโครงสร้าง Tenses ทั้ง 12 ประเภทในภาษาอังกฤษ
ดูเพิ่มเติม: https://lasbeautyvn.com/category/digital-studios