โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ Tense: ทบทวนวิธีใช้แบบง่ายๆ

โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษและ tense

โครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสื่อสารเข้าใจกันได้อย่างถูกต้องและราบรื่น การใช้คำและประโยคให้ตรงกับเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ความหมายของประโยคเป็นไปตามที่ต้องการ

ส่วนประกอบของประโยคในภาษาอังกฤษประกอบด้วยส่วนผันแปรและส่วนประโยคหลัก ส่วนผันแปรเป็นส่วนที่ต้องปรับเปลี่ยนตาม tense ของประโยค อีกฝั่งหนึ่งของส่วนผันแปรนั้นเป็น present (กริยาที่ใช้ตามกับบุคคลหลัก ช่วงที่ 1, 2, และ 3) และอีกฝั่งหนึ่งของส่วนผันแปรก็คืออดีตและกรรม ส่วนประโยคหลักคือส่วนที่อธิบายกริยาหรือใช้กริยาเสมอกันหรือกริยาช่วยเพื่อให้ได้ประโยคที่สมบูรณ์และมีความหมาย

การสร้างประโยคในภาษาอังกฤษนั้นเราต้องใช้คำกริยาที่ถูกต้องตามลำดับของเวลา ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับ tense โดยถูกต้อง ซึ่ง tense ทั้ง 12 อย่างละเอียดดังนี้

1. Present Simple Tense:
– ใช้เมื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันที่เป็นจริง ไม่ส่องกลับไปในอดีตหรืออนาคต
– ตัวอย่างประโยค: “She often goes to the park on Sundays.”

2. Present Continuous Tense:
– ใช้เมื่อกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น
– ตัวอย่างประโยค: “I am studying for my exams at the moment.”

3. Present Perfect Tense:
– ใช้เมื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ยังมีผลกระทบในปัจจุบัน
– ตัวอย่างประโยค: “They have already finished their homework.”

4. Present Perfect Continuous Tense:
– ใช้เมื่ออธิบายเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตลอดเวลาในอดีตและยังคงเกิดต่อมา
– ตัวอย่างประโยค: “She has been working in the garden all day.”

5. Past Simple Tense:
– ใช้เมื่อเราต้องการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
– ตัวอย่างประโยค: “He went to the concert last night.”

6. Past Continuous Tense:
– ใช้เมื่อเราต้องการอธิบายเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตเป็นเวลาที่กำหนด หรือกำลังทำอยู่ในอดีต
– ตัวอย่างประโยค: “We were playing football when it started raining.”

7. Past Perfect Tense:
– ใช้เมื่อต้องการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเรื่องที่กำลังพูดถึงในอดีต
– ตัวอย่างประโยค: “She had already left when I arrived.”

8. Past Perfect Continuous Tense:
– ใช้เมื่อต้องการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดในอดีต
– ตัวอย่างประโยค: “He had been cooking since morning.”

9. Future Simple Tense:
– ใช้เมื่ออธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ไม่ได้กำหนดคำสั่งใดๆ
– ตัวอย่างประโยค: “They will arrive tomorrow afternoon.”

10. Future Continuous Tense:
– ใช้เมื่ออธิบายเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเวลาที่เป็นไปได้หรือกำลังทำอยู่ในอนาคต
– ตัวอย่างประโยค: “We will be having dinner at 8 PM.”

11. Future Perfect Tense:
– ใช้เมื่อต้องการอธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ที่กำลังพูดถึงในอนาคต
– ตัวอย่างประโยค: “I will have finished my work by tomorrow.”

12. Future Perfect Continuous Tense:
– ใช้เมื่อต้องการอธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลาในอนาคต ก่อนหรือหลังจากเหตุการสำคัญอื่นๆ
– ตัวอย่างประโยค: “They will have been waiting for two hours by the time we arrive.”

การใช้และการผสมผสานประโยคในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องการความเข้าใจเช่นเดียวกับโครงสร้างของประโยค เราสามารถผสมประโยคในภาษาอังกฤษเพื่อเกิดประโยคที่ยาวขึ้นหรือมีความสนุกสนานมากขึ้น ดังนั้นในส่วนนี้เราจะได้รู้จักกับตัวอย่างประโยคในภาษาอังกฤษที่แสดงถึงการผสมผสานและการใช้ประโยคในภาษาอังกฤษ

1. โครงสร้างประโยคปฏิเสธใน Present Simple Tense:
– ใช้ “do not/does not + V1” เพื่อเปลี่ยนประโยคให้มีการปฏิเสธ
– ตัวอย่างประโยค: “She does not like coffee.”

2. ตัวอย่างประโยค present simple tense 20 ประโยค:
– “I eat breakfast every morning.”
– “He lives in London.”
– “The sun rises in the east.”

3. ตัวอย่างประโยค present simple tense ตัวอย่างประโยคบอกเล่า:
– “Once upon a time, there is a princess who lives in a castle.”

4. ตัวอย่างประโยคคำถาม present simple tense:
– “Do you like pizza?”
– “Does she play the piano?”

5. โครงสร้างประโยคใน Present Continuous Tense:
– ใช้ “am/is/are + V-ing” เพื่อแสดงการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
– ตัวอย่างประโยค: “They are watching a movie right now.”

6. โครงสร้างประโยคใน Present Perfect Tense:
– ใช้ “have/has + V3” เพื่อแสดงการกระทำที่เสร็จสมบูรณ์ในอดีตแต่ยังมีผลกระทบในปัจจุบัน
– ตัวอย่างประโยค: “I have traveled to many countries.”

7. โครงสร้างประโยคใน Present Perfect Continuous Tense:
– ใช้ “have/has + been + V-ing” เพื่อแสดงการกระทำที่เริ่มต้นตั้งแต่อดีตและยังคงเกิดต่อมา
– ตัวอย่างประโยค: “She has been studying all day.”

8. โครงสร้างประโยคใน Past Simple Tense:
– ใช้ V2 เพื่อแสดงกริยาในอดีต
– ตัวอย่างประโยค: “I saw a movie last night.”

9. โครงสร้างประโยคใน Past Continuous Tense:
– ใช้ “was/were + V-ing” เพื่อแสดงกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและเป็นเวลาที่กำหนด
– ตัวอย่างประโยค: “They were playing football when it started raining.”

10. โครงสร้างประโยคใน Past Perfect Tense:
– ใช้ “had + V3” เพื่อแสดงกระทำที่เสร็จสมบูรณ์ก่อนกระทำใดๆในอดีต
– ตัวอย่างประโยค: “She had already left when I arrived.”

11. โครงสร้างประ

ท่านอาจจะสงสัยว่ากับภาษาอังกฤษที่มีกลุ่ม Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียดนั้น เราควรจะทำความเข้าใจอย่างไร? ในบทความนี้ เราจะสอนคุณเกี่ยวกับแต่ละ Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียดและเต็มความสำคัญของมัน อีกทั้งจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารแบบ PDF ที่สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็ว ในส่วน FAQ ที่จะส่งมาตอบวิธีการใช้และรูปแบบของ Tense ทั้ง 12 นี้ จึงอย่างแน่นอนว่าท่านจะพร้อมที่จะเริ่มเรียนรู้และประยุกต์ใช้ Tense ในภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

Tense ในภาษาอังกฤษถือเป็นส่วนสำคัญที่ต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมัน ซึ่ง Tense หมายถึงการแสดงความเหตุการณ์ในเวลาปัจจุบัน, อดีตและอนาคต ซึ่งอาจทำให้ผู้เรียนพบความยากลำบากในการเรียนรู้เนื่องจากมีจำนวนที่มาก ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Tense ทั้ง 12 อย่างนั้นถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการเรียนรู้และใช้งาน

เมื่อเดินทางเข้าสู่โลกของ Tense จะเริ่มจาก “Present Tense” ซึ่งใน Present Tense จะบอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยหลาย ๆ คนรู้จัก Present Simple Tense ที่ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำและ Present Continuous Tense ที่ใช้เมื่อกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

จากนั้น “Past Tense” จะบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งนี่คือส่วนที่ผู้เรียนบางคนอาจได้รู้จักกันดี แต่ยังมีหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่จำเป็นต้องใช้ Past Tense

ไปต่อด้วย “Future Tense” ที่ใช้บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจบ่งบอกว่าหากคุณต้องการให้ผู้อ่านหวังเป็นอย่างมาก คุณควรสร้างความคาดหวังด้วยการใช้ Future Tense

นอกจากเหตุการณ์ใน Present, Past และ Future Tense นั้นเอง ยังมีเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกอังกฤษสารพัดใจอื่น ๆ อีกมากมายในแต่ละ Tense ที่น่าสนใจได้แก่ Present Perfect Tense, Past Perfect Tense, Future Perfect Tense และ Continuous Tense ต่าง ๆ

ความสำคัญของการสอบถามและการทำความเข้าใจให้แน่ใจว่า Tense นั้นถูกต้องอยู่เสมอเป็นเรื่องอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องพูดถึง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน ดังนั้นเราจะหาคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียดและมาตอบไปเลยทีเดียว

Q: คืออะไรที่ทำให้บางคนรู้สึกยากในการเรียนรู้ Tense ทั้ง 12?
A: เนื่องจาก Tense มีจำนวนที่มากและสามารถใช้ในสถานการณ์แตกต่างกันได้ ส่งผลให้บางคนรู้สึกยากลำบากในการจดจำและใช้งาน

Q: อะไรคือ Tense ที่ยากที่สุด?
A: ความยากขึ้นอยู่กับบุคคลเเต่ละคน แต่หลาย ๆ คนมักพบว่า Tense ในอนาคตและกริยาเสมอสมบูรณ์เป็นเรื่องที่ยากที่สุด

Q: มีวิธีใดที่ช่วยให้เราเรียนรู้ Tense ได้อย่างรวดเร็ว?
A: ควรศึกษาและทบทวน Tense ทีละหนึ่งครั้ง ใช้เครื่องมือช่วยต่าง ๆ เช่น แบบฝึกหัด เกมหรือแอปพลิเคชัน

Q: โครงสร้าง Tense ในอังกฤษมีความซับซ้อนหรือไม่?
A: โครงสร้าง Tense ในอังกฤษมีความซับซ้อนในบางรูปแบบ แต่ในทั่วไปแล้ว Tense ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถเรียนรู้และใช้งานได้โดยง่าย

Q: ขั้นตอนอะไรที่ดีที่สุดในการศึกษา Tense?
A: แนะนำให้เริ่มต้นทำความเข้าใจเรื่องราวของแต่ละ Tense ว่ามีลักษณะเหมือน ๆ หรือแตกต่างกันอย่างไร จากนั้นลองบทสนทนาในสถานการณ์ที่ต่างกันเพื่อเข้าใจและฝึกใช้ Tense เปลี่ยนไปตามบทสนทนา

ในส่วนของเอกสารแบบ PDF ที่สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tense ทั้ง 12 ในรูปแบบละเอียด คุณสามารถค้นหาและดาวน์โหลดได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเช่น “English Grammar in Use” หรือ “Cambridge English” นอกจากนี้ยังสามารถหาคลิปวิดีโอบน YouTube หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เพื่อให้ได้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในส่วนของ FAQ ที่เกี่ยวกับ Tense ทั้ง 12 ข้อ สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานเพิ่มเติม มีดังนี้

Q: ทดสอบแบบไหนที่ตรวจสอบความเข้าใจของ Tense ทั้ง 12?
A: สามารถทดสอบความเข้าใจของ Tense ทั้ง 12 โดยใช้แบบทดสอบออนไลน์ หรือแบบฝึกหัดในหนังสือหรือแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้อง

Q: การรู้จักและใช้ Tense ทั้ง 12 มีประโยชน์อย่างไร?
A: ทำให้เราสื่อสารและเขียนบทสนทนาในภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง มีคำศัพท์ใช้ตรงประเด็นและเกิดความมั่นใจในการใช้ภาษา

Q: สำหรับผู้ที่พบปัญหาในการเรียนรู้ Tense เขาควรทำอย่างไร?
A: การหาแหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น คอร์สออนไลน์, ติวเตอร์ส่วนตัว, หรือผู้ช่วยจากชุมชนออนไลน์ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ชัดเจนและสามารถใช้งาน Tense ได้อย่างถูกต้อง

ทีนี้ท่านสามารถทำความเข้าใจและเรียนรู้ Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียดได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพแล้ว อย่าลืมใช้แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมอย่างเอกชน เช่น เอกสารแบบ PDF หรือการสอบถามและคำตอบในส่วน FAQ เพื่อเพิ่มความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ สุดท้ายนี้ต้องขอให้โชคดีในการศึกษา Tense ทั้ง 12 และใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างทุกข์ใจครับ

การใช้รูปของคำกริยา (Tense) เป็นเรื่องสำคัญในการพูดและเขียนภาษาอังกฤษเพราะจะช่วยให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 12 tense ที่ผู้เรียนควรรู้จักศึกษา เพื่อใช้ในการสื่อสารอย่างถูกต้องและเหมาะสม ในบทความนี้จะกล่าวถึงทุก tense พร้อมตัวอย่าง ให้เต็มความสามารถในการใช้งาน

1. Present Simple Tense (ปัจจุบันกาลธรรมดา)
ใช้สำหรับการพูดถึงเรื่องที่เป็นประจำ รวมถึงการพูดความลื่นเหมือนกันในแต่ละเรื่อง เช่น “I go to work every day.” (ฉันไปทำงานทุกวัน)

2. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลปฏิบัติ)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เช่น “He is watching a movie right now.” (เขากำลังดูภาพยนตร์อยู่ตอนนี้)

3. Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลเมื่อกี้)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และสรุปว่าเรื่องนั้นยังคงมีผลต่อปัจจุบัน เช่น “She has finished her homework.” (เธอจบการบ้านแล้ว)

4. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลเมื่อกี้ที่ทำต่อเนื่อง)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และยังคงเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เช่น “It has been raining for hours.” (ฝนตกมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว)

5. Past Simple Tense (อดีตกาลธรรมดา)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น “She spoke to him yesterday.” (เธอพูดคุยกับเขาเมื่อวานนี้)

6. Past Continuous Tense (อดีตกาลปฏิบัติ)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต เช่น “They were playing soccer at the park last night.” (พวกเขากำลังเล่นฟุตบอลที่สวน เมื่อคืนวานนี้)

7. Past Perfect Tense (อดีตกาลแม้จะเกิดขึ้นแล้ว)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนเรื่องอื่นๆ เช่น “He had already eaten when I arrived.” (เขากินอาหารไปแล้วเมื่อฉันมาถึง)

8. Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลเมื่อกี้ที่ทำต่อเนื่อง)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต และยังคงเกิดขึ้นอยู่ต่อเนื่อง เช่น “I had been studying English all day yesterday.” (ฉันเรียนภาษาอังกฤษตลอดวันเมื่อวานนี้)

9. Future Simple Tense (อนาคตกาลธรรมดา)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “We will visit our grandparents next week.” (เราจะเยี่ยมปู่ย่าของเราในอาทิตย์หน้า)

10. Future Continuous Tense (อนาคตกาลปฏิบัติ)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่จะกำลังเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “I will be studying at the library tomorrow.” (ฉันจะกำลังเรียนที่ห้องสมุดในวันพรุ่งนี้)

11. Future Perfect Tense (อนาคตกาลแม้จะเกิดขึ้นแล้ว)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก่อนเรื่องอื่นๆ เช่น “She will have finished her work by the end of the day.” (เธอจะเสร็จงานของเธอภายในท้ายวัน)

12. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลเมื่อกี้ที่ทำต่อเนื่อง)
ใช้เพื่อพูดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยังคงเกิดขึ้นอยุ่ต่อเนื่อง เช่น “By this time next week, I will have been living in Thailand for five years.” (ในช่วงเวลาอาทิตย์หน้านี้ ฉันจะได้รู้สึกอาศัยในประเทศไทยมาถึง 5 ปีแล้ว)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. เรื่องที่ฉันควรจะเรียนรู้ในเรื่อง Tense คืออะไร?
การเรียนรู้ tense ทั้ง 12 นั้นจำเป็นสำหรับการใช้ภาษาอังกฤษในทุกๆ สถานการณ์ โดยผู้เรียนควรรู้จักศึกษาเนื้อหาและใช้งานแต่ละ tense อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับบทวิจารณ์ของผู้พูดหรือผู้เขียน จึงสามารถสื่อสารอย่างชัดเจนได้

2. ทำไมสิ่งนี้ถึงยากมากที่จะเรียนรู้?
การเรียนรู้ tense อาจจะยากเนื่องจากมีกฎการใช้งานที่ยังเปลี่ยนแปลงไปตามตำแหน่งในประโยค อีกทั้งยังมีบาง tense ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ทำให้ต้องมีความระมัดระวังเพื่อไม่ใช้บรรทัดซ้ำ แต่โดยทั่วไปถ้ามีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ผู้เรียนสามารถจดจำและใช้งานตามบทเรียนได้

3. ควรเรียนรู้ tense ทั้ง 12 พร้อมกันหรือไม่?
ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ทุก tense พร้อมกัน เริ่มต้นจาก tense ที่ใช้บ่อยและสามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์ต่างๆ ก็เพียงพอ จากนั้นสามารถเรียนรู้ tense อื่นๆ ที่ใช้บ่อยขั้นต่อไป

4. เริ่มเรียนรู้จาก tense ใดควรทำอย่างไร?
เรียนรู้ tense เริ่มต้นด้วย present simple tense เพราะเป็น tense ที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน เมื่อเรียนรู้จนเข้าใจแล้ว สามารถเลื่อนไปเรียนรู้ tense อื่นๆ ได้โดยต่อเนื่อง

5. มี tips ในการจำ tense ได้อย่างรวดเร็วหรือไม่?
สามารถใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยในการจำตัวอย่างรวดเร็ว เช่น การสร้างประโยคตัวอย่างส่วนหนึ่งของแต่ละ tense เพื่อให้ได้ความรู้สึกเกี่ยวกับแต่ละ tense ที่มีลักษณะที่แตกต่างออกไป นอกจากนี้ยังสามารถใช้แบบฝึกหัดเพิ่มเติม เช่น การแปลงประโยคจาก tense หนึ่งเป็น tense อื่นๆ เพื่อฝึกความรู้สึกในการใช้แต่ละ tense ได้

ในสรุป tense เป็นส่วนสำคัญในการใช้งานภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้ชัดเจน และเป็นกำลังใจให้ผู้เรียนเริ่มต้นเรียนรู้ tense ที่ใช้บ่อยและค่อนข้างง่ายก่อน พร้อมฝึกฝนเพื่อเป็นที่เข้มแข็งในการสื่อสารในการใช้งานจริง

มี 25 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ โครงสร้าง ประโยค ภาษา อังกฤษ tense.