โครงสร้าง 12 Tense
โครงสร้างกลุ่มเวลาทั้ง 12 ในภาษาไทยเป็นสิ่งที่เอกชนิดและซับซ้อนซึ่งทุกคนที่เรียนรู้ภาษาไทยจำเป็นต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ดี เนื่องจากการรับรู้เวลาและการใช้งานกันแตกต่างกันไปในแต่ละองค์ประกอบของกลุ่มเวลา ในบทความนี้เราจะศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้าง 12 Tense ทั้งหมดที่มีในภาษาไทย รวมถึงการใช้และการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเวลาทั้ง 12
โครงสร้างและลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่มเวลาในภาษาไทย
1. กลุ่มเวลา Present Simple Tense (ปัจจุบันกาลธรรมดา)
– ใช้ในประโยคที่แสดงสถานะหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือเป็นประจำ
– โครงสร้าง: S + V (รูปพจนานุกรมทั่วไป)
– ตัวอย่าง: ฉันอ่านหนังสือทุกวัน (I read books every day)
2. กลุ่มเวลา Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลคงที่)
– ใช้ในประโยคที่เหตุการณ์กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
– โครงสร้าง: S + am/is/are + Ving
– ตัวอย่าง: น้องกำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ (My sister is playing computer games)
3. กลุ่มเวลา Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์)
– ใช้ในประโยคที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่อาจมีผลกระทบในปัจจุบัน
– โครงสร้าง: S + have/has + V3
– ตัวอย่าง: เขาเคยไปไหนแล้ว? (Where have you been?)
4. กลุ่มเวลา Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
– ใช้ในประโยคที่เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในอดีตและกำลังดำเนินการอยู่
– โครงสร้าง: S + have/has + been + Ving
– ตัวอย่าง: เขากำลังเรียนหนังสือตลอดเวลา (He has been studying all day)
5. กลุ่มเวลา Past Simple Tense (อดีตกาลธรรมดา)
– ใช้ในประโยคที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลง
– โครงสร้าง: S + V2
– ตัวอย่าง: เมื่อวานเขาไปเที่ยวทะเล (Yesterday, he went to the beach)
6. กลุ่มเวลา Past Continuous Tense (อดีตกาลคงที่)
– ใช้ในประโยคที่เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและกำลังดำเนินการอยู่ระหว่างเวลาที่กำหนด
– โครงสร้าง: S + was/were + Ving
– ตัวอย่าง: เมื่อวานนี้กำลังฝนตกอยู่ (Yesterday, it was raining)
7. กลุ่มเวลา Past Perfect Tense (อดีตกาลสมบูรณ์)
– ใช้ในประโยคที่เน้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์อื่นในอดีต
– โครงสร้าง: S + had + V3
– ตัวอย่าง: เขาก่อนหน้านี้เคยแล้ว (He had already left)
8. กลุ่มเวลา Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
– ใช้ในประโยคที่เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและกำลังดำเนินการอยู่ระหว่างเวลาที่กำหนด
– โครงสร้าง: S + had + been + Ving
– ตัวอย่าง: เขาทำงานอย่างหยิ่งรู้สึกไปมานานแล้ว (He had been working hard for a long time)
9. กลุ่มเวลา Future Simple Tense (อนาคตกาลธรรมดา)
– ใช้ในประโยคที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
– โครงสร้าง: S + will + V
– ตัวอย่าง: เราจะไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล (We will go to the hospital to give birth)
10. กลุ่มเวลา Future Continuous Tense (อนาคตกาลคงที่)
– ใช้ในประโยคที่เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและกำลังดำเนินการอยู่ระหว่างเวลาที่กำหนด
– โครงสร้าง: S + will + be + Ving
– ตัวอย่าง: เขาจะกำลังอ่านหนังสือในวันพรุ่งนี้ (He will be reading a book tomorrow)
11. กลุ่มเวลา Future Perfect Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์)
– ใช้ในประโยคที่เน้นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก่อนเหตุการณ์อื่นในอนาคต
– โครงสร้าง: S + will + have + V3
– ตัวอย่าง: เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้า (He will have entered university next year)
12. กลุ่มเวลา Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)
– ใช้ในประโยคที่เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและกำลังดำเนินการอยู่ระหว่างเวลาที่กำหนด
– โครงสร้าง: S + will + have + been + Ving
– ตัวอย่าง: เขาจะได้ทำงานนี้มานานห้าปีในปีหน้า (He will have been working on this project for five years next year)
ผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการใช้กลุ่มเวลาทั้ง 12
การใช้กลุ่มเวลาทั้ง 12 ในภาษาไทยอาจทำให้เกิดความสับสนและข้อผิดพลาดได้หากไม่มีความรู้และการฝึกปฏิบัติที่เพียบพร้อม บางครั้งผู้เรียนอาจใช้กลุ่มเวลาที่ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดตามตัวอย่างเช่น:
1. การใช้กลุ่มเวลา Present Simple สำหรับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
2. การใช้กลุ่มเวลา Past Simple สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
3. การใช้กลุ่มเวลา Past Continuous สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในอดีต
4. การใช้กลุ่มเวลา Future Simple สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
5. การใช้กลุ่มเวลา Future Perfect สำหรับเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต
ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างกลุ่มเวลา
กลุ่มเวลาทั้ง 12 ในภาษาไทยมีความเหมือนและความแตกต่างกันดังนี้:
1. การเป็นประโยคประกอบกัน:
– กลุ่มเวลา Present Simple, Present Continuous, Past Simple, Past Continuous, Future Simple, และ Future Continuous ใช้กับประโยคบอกความ
– กลุ่มเวลา Present Perfect, Present Perfect Continuous, Past Perfect, Past Perfect Continuous, Future Perfect, และ Future Perfect Continuous ใช้กับประโยคบอกเหตุการณ์
2. การใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน:
– กลุ่มเวลา Present Simple, Present Continuous, และ Present Perfect ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
– กลุ่มเวลา Past Simple, Past Continuous, และ Past Perfect ใช้กับเ
12 Tenses ครบในคลิปเดียว! | เรียน Grammar ภาษาอังกฤษฟรี กับครูดิว
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: โครงสร้าง 12 tense tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด, tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง, 12 tense จำง่าย, Tense คือ, Tense ทั้ง 12, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt, โครงสร้าง Tense
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ โครงสร้าง 12 tense
หมวดหมู่: Top 15 โครงสร้าง 12 Tense
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด
1. Present Simple Tense (กาลเอกกรรม): รูปแบบนี้ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นครั้งคราวหรือกิจกรรมที่ซ้ำๆกัน เช่น “I work in an office.”
2. Present Continuous Tense (กาลปัจจุบันกำลังทำอยู่): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น “I am studying at the moment.”
3. Present Perfect Tense (กาลเมื่อกี้): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่สัมพันธ์กับปัจจุบัน เช่น “She has already finished her homework.”
4. Present Perfect Continuous Tense (กาลปัจจุบันเวลายาว): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดอยู่ในปัจจุบัน เช่น “He has been working all day.”
5. Past Simple Tense (กาลอดีต): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตโดยเฉพาะ เช่น “She went to the cinema last night.”
6. Past Continuous Tense (กาลอดีตกำลังทำอยู่): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต เช่น “They were playing basketball yesterday.”
7. Past Perfect Tense (กาลอดีตแบบสมบูรณ์): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนหน้าเหตุการณ์อื่น เช่น “He had already left when she arrived.”
8. Past Perfect Continuous Tense (กาลอดีตแบบยาว): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดอยู่ตลอดเวลา เช่น “She had been waiting for hours before he finally arrived.”
9. Future Simple Tense (กาลอนาคต): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “I will see you tomorrow.”
10. Future Continuous Tense (กาลอนาคตกำลังทำอยู่): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะกำลังเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “They will be traveling to Japan next month.”
11. Future Perfect Tense (กาลอนาคตแบบสมบูรณ์): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะกับเกิดขึ้นในอนาคตก่อนหน้าเหตุการณ์อื่น เช่น “By next year, I will have graduated from university.”
12. Future Perfect Continuous Tense (กาลอนาคตแบบยาว): ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและยังคงเกิดอยู่ตลอดเวลา เช่น “He will have been working for 10 hours by the time he finishes.”
FAQs:
1. เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อเรียนรู้การใช้รูปแบบกาลเวลาอย่างถูกต้อง?
คุณสามารถศึกษาเกี่ยวกับกาลเวลาทั้ง 12 รูปแบบที่เราได้กล่าวถึงในบทความนี้ และลองใช้ในประโยคของคุณเอง เพื่อให้คุณเข้าใจและคล่องแคล่วในการใช้งาน
2. อะไรคือรูปแบบกาลเวลาที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ?
Present Simple Tense (กาลเอกกรรม) เป็นรูปแบบกาลเวลาที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาอังกฤษ เนื่องจากมักจะใช้ในการพูดถึงกิจกรรมทั่วไปหรือสภาวะที่เป็นปรกติ
3. อะไรคือความแตกต่างระหว่าง Present Simple Tense (กาลเอกกรรม) และ Present Continuous Tense (กาลปัจจุบันกำลังทำอยู่)?
Present Simple Tense ใช้ในกรณีที่เราพูดถึงเหตุการณ์ที่ซ้ำๆ กันหรือกิจกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น “I play tennis every Sunday.” ในขณะที่ Present Continuous Tense ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น “I am playing tennis right now.”
4. เราสามารถใช้ Present Perfect Tense (กาลเมื่อกี้) และ Past Simple Tense (กาลอดีต) ในบรรทัดเดียวกันได้หรือไม่?
ไม่สามารถใช้รูปแบบกาลเวลาเหล่านี้ในบรรทัดเดียวกันได้ เนื่องจาก Present Perfect Tense ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่สัมพันธ์กับปัจจุบัน เช่น “She has already finished her homework.” ในขณะที่ Past Simple Tense ใช้ในการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตโดยเฉพาะ เช่น “She finished her homework yesterday.”
5. เราสามารถใช้ “will” แทน “be going to” เพื่อแสดงกาลอนาคตในประโยคได้หรือไม่?
ใช่ได้ คำว่า “will” และ “be going to” สามารถใช้แทนกันในการแสดงกาลอนาคตได้ เช่น “I will see you tomorrow.” เทียบเท่ากับ “I am going to see you tomorrow.” อย่างไรก็ตาม ควรใช้คำว่า “be going to” เมื่อเรามีข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ดูเหมือนจะเป็นความเป็นจริงอยู่แล้ว เช่น “Look at those dark clouds! It’s going to rain.”
ในสรุป การเข้าใจการใช้รูปแบบกาลเวลาในภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรทำ เพราะแม้ว่าบางรูปแบบอาจดูซับซ้อนกว่าอีกบางรูปแบบ แต่การเรียนรู้และปฏิบัติตามกฎรูปแบบกาลเวลาจะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง
Tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความจำเป็นกับระบบของการแสดงเวลาอย่างเลื่อนช้า ซึ่งทำให้เราสามารถเห็นถึงภาพรวมของเหตุการณ์ของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยใช้คำกริยาที่สร้างหรือใช้ประกอบด้วยเสียงวรรณยุกต์ เรียกว่า “สระสุดท้าย” และ “การเติม” การดูแลการประกอบด้วยสระสุดท้ายและการเติมทำให้เราสามารถปรับตำแหน่งของเหตุการณ์ภายใต้สถานการณ์และเวลาที่แตกต่างกันได้
ในภาษาไทย คำกริยาแต่ละคำจะมีช่องทางในเวลาที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น คำกริยา “เขียน” สามารถแสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เป็นปัจจุบัน หรืออนาคตได้ โดยการเปลี่ยนสระสุดท้ายและการเติม ดังนั้น คำกริยา “เขียน” ในรูปของอดีตจะเป็น “เคยเขียน” ในรูปของปัจจุบันจะเป็น “กำลังเขียน” และในรูปของอนาคตจะเป็น “จะเขียน” ซึ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ช่วยให้เราสามารถแสดงการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ตามการเคลื่อนไหวของเวลา
ตัวอย่างเชิงเสียงที่สองของการใช้คำกริยาในภาษาไทยคือการเพิ่มการเติมเวลาในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ในภาษาอังกฤษ เรามักใช้คำกริยาช่วยเหลือออกเสียงสั้นและสะดวกในการเล่าเรื่อง เช่น “มันกำลังทำอะไร” ในภาษาไทย หากเราต้องการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการกระทำของบุคคลใดบางคน หรือการเกิดเหตุการณ์ในอดีต หรือในอนาคต เราอาจจะใช้คำกริยาที่เฉพาะเจาะจง ที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยเรื่องราวมีน้ำหนักมากขึ้น
อนุสรณ์หนึ่งในการใช้คำกริยาในอดีตคือคำกริยาช่อง 2 ที่เรียกว่า “ช่อง 2 ของคำกริยา” ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่รับเครื่องหมาย พรากษาวรรณยุกต์ เว้นแต่จะเป็นคำกริยาที่มีวรรณยุกต์สระสุดท้ายของคำกริยาสงสัย ตัวอย่างเช่น คำกริยา “รักษา” ในช่อง 2 จะเป็น “รักษา” ในรูปอดีต “รักษา” ในรูปปัจจุบัน และ “จะรักษา” ในรูปอนาคตโดยมิใช่ “รักษ่า” หรือ “รักษาคร่าว ๆ” ที่เป็นรูปแบบทั่วไปของการใช้ช่องที่สองในอดีตและอนาคต
เราต้องระวังการใช้คำกริยาในอดีตในบทสนทนาไม่ว่าจะเป็นในความคิดเห็นและคำถาม เพราะอาจมีผลต่อวินัยภาษาของนักเรียนได้ ในบทสนทนานั้น อาจทำให้คุณรับรู้ถึงว่าหากเราใช้คำกริยาในอดีตแสดงถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นในอดีตถึงจะต่างจาก “ประสบการณ์ในอดีต” แต่การตั้งคำถามในรูปแบบเหล่านี้ถือว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นการสอบถามเกี่ยวกับ “ประสบการณ์ในอดีต” นั่นเอง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้คำกริยาในภาษาไทย:
คำถามที่ 1: แต่งก้องได้ก็แค่แป้นแตดไว้ไม่ได้ไปไหน
ในประโยคนี้เราใช้คำกริยาตรายของ “แป้นแตดไว้” ดูเหมือนว่าเกิดขึ้นในอดีตเพราะเราใช้คำกริยาในรูปของบรรทัดนี้เมื่อทุกอย่างกำลังและสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งที่เรากำลังพูดถึงเกิดขึ้นในอดีต ในกรณีนี้ การใช้คำกริยาในค่าชั่วคราว “แป้นแตดไว้” เพื่อตั้งคำถามเกี่ยวกับ “การเป็นไปได้ในอนาคต” ควรทำอย่างไร?
คำตอบ: โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถใช้คำกริยาที่ตรายที่เกี่ยวกับ “สิ่งที่เรากำลังพูดถึง” เพื่อตั้งคำถามเกี่ยวกับ “การเป็นไปได้ในอนาคต” การใช้คำกริยาอย่างนี้จะช่วยให้เราปรับเสียงที่เป็นไปได้ในประโยค เช่น ใช้คำว่า “ก้มออก” ในรูปอนาคตที่เป็นไปได้ในปัจจุบันและอนาคต “แป้นแตดไว้ก่อน” ในการเทียบเคียงกับ “ก้มออก” ในปัจจุบันหรืออดีต และ “ก้มออก” ในรูปอดีต “อาจไม่ได้ก้มแล้ว”
คำถามที่ 2: ถ้าคำกริยาในรูปอดีตและปัจจุบันเหมือนกัน คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน?
สอดรับถามถึงระบบการเปลี่ยนแปลงที่ใช้ในภาษาไทยที่เกี่ยวกับคำกริยาในรูปอดีตและปัจจุบัน ถามข้อดีหรือเคล็ดลับในการระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
คำตอบ: แนวทางหนึ่งในการจำแนกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบันคือในรูปแบบเนื้อหาที่เป็นของจริงที่ทำให้เราสามารถระบุและเข้าใจได้ ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบันก็อาจจะต้องพิจารณาตัวอักษรและวาเลนท์ของคำถามที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เช่น ถ้าคำถามเกี่ยวกับ “วันนี้คุณทำอะไรอยู่” ย่อมเกี่ยวข้องกับปัจจุบัน หากมีคำถามเปลี่ยน “เมื่อวานนี้คุณทำอะไรอยู่” เราจะรู้ว่ากิจกรรมนั้นมีเกี่ยวข้องกับอดีต นอกจากนี้เรายังสามารถใช้คำว่า “เคย” หรือ “อีกไม่นาน ๆ” เพื่อระบุว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีตกว่าเราอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน
เนื้อหาด้านบวก: โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถใช้คำกริยาในรูปปัจจุบันเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และใช้คำกริยาในรูปอดีตเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ถ้าเราต้องการอธิบายเหตุการณ์ในอนาคตเราอาจต้องใช้คำกริยาประสานกับคำหายใจอื่น ๆ เพื่อระบุเวลาที่เกิดขึ้นกับคำกริยา การใช้ระบุคำกริยาในรูปอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตจึงช่วยให้เราสื่อสารเหตุการณ์และเวลาในที่ผ่านมา ปัจจุบันและอนาคตได้อย่างชัดเจน
ในที่สุด เราสามารถเห็นได้ว่าภาษาไทยมีระบบที่ซับซ้อนในการแสดงเวลา และให้ความยืดหยุ่นในการเล่าเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ โดยการใช้คำกริยาที่ดัดแปลงในรูปของอดีต ปัจจุบันและอนาคต เราสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และเวลาของเหตุการณ์ตามความจำเป็น อีกทั้งยังสามารถใช้คำตอบหรือคำถามที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเสียงในการสื่อสารให้ถูกต้อง เมื่อใช้คำกริยาในภาษาไทยในทิศทางที่ถูกต้องพร้อมกับการเข้าใจต
มี 40 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ โครงสร้าง 12 tense.
ลิงค์บทความ: โครงสร้าง 12 tense.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ โครงสร้าง 12 tense.
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- สรุป Tense ทั้ง 12 ใช้ยังไง โครงสร้างประโยคของแต่ละ …
- หลักการใช้ 12 Tense อย่างละเอียด พร้อมโครงสร้าง tense ที่สรุป …
- 12 tense ในภาษาอังกฤษ: โครงสร้าง หลักการใช้ และสัญญาณ …
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
- สรุป 12 Tenses ฉบับรวบรัด! จำง่าย! เข้าใจทันทีแม้ไม่มีพื้นฐาน
- สรุป Tense ภาษาอังกฤษทั้ง 12 Tenses – Medium
ดูเพิ่มเติม: https://lasbeautyvn.com/category/digital-studios