การใช้Tense
1. แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับ Tense
เริ่มแรกเรามาทำความเข้าใจแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับ Tense ในภาษาไทย ภาษาไทยไม่ได้ใช้ Tense เหมือนภาษาอังกฤษโดยตรง ภาษาไทยจะใช้เวลาและคำที่เกี่ยวข้องกับเวลาเพื่อแสดงเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การเรียงลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมาและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น การใช้ Tense ในภาษาไทยจะต้องเน้นการใช้คำสรรพากรและคำว่า “กำลัง”, “จะ”, “ได้”, “เคย” เพื่อให้บ่งบอกถึงเวลาของเหตุการณ์
2. Tense ในประโยคบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ภาษาไทยสามารถใช้ Tense เพื่อบอกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้ ตัวอย่างเช่น
– ฉันกินอาหารอยู่ (I am eating).
– เขาเล่นเกมส์ (He is playing games).
ในกรณีนี้เราใช้คำว่า “กำลัง” เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
3. Tense ในประโยคเพื่อตอบรับคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
เมื่อต้องการตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เราสามารถใช้ Tense ในภาษาไทยได้โดยการเติมคำว่า “เคย” หรือ “ได้” เข้าไปกับกริยา เช่น
– เขาไปเที่ยวที่ต่างประเทศก่อนหน้านี้ (He has gone abroad before).
– ฉันเคยลองกินอาหารนี้มาก่อน (I have tried this food before).
4. Tense ในประโยคเพื่อสื่อถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เมื่อต้องการอธิบายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราสามารถใช้ Tense ในภาษาไทยได้โดยการเติมคำว่า “จะ” หรือ “ก็จะ” เข้าไปกับกริยา เช่น
– เมื่อพรุ่งนี้เขาจะไปทำงาน (Tomorrow he will go to work).
– ฉันกำลังวางแผนที่จะเข้าร่วมงานนี้ (I am planning to attend this event).
5. การใช้ Tense สำหรับเรื่องราวที่เป็นสาเหตุ-ผล
ในกรณีที่ต้องการสื่อถึงเรื่องราวที่มีสาเหตุและผลแน่ชัด เราจะใช้ Tense ในภาษาไทยได้โดยการใช้คำว่า “เมื่อ” หรือ “เพราะ” เพื่ออธิบายถึงสาเหตุและคำว่า “ดังนั้น” เพื่ออธิบายถึงผลลัพธ์ เช่น
– เมื่อเขาได้นิสิตที่ดีเข้ามาทำงาน เขาก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น (Since he hired good students to work, he became more well-known).
– เพราะเขาทำงานหนัก กำลังเข้าสู่ตลาดการงาน เขามีโอกาสทำงานที่ดีมากขึ้น (Because he works hard, he is entering the job market and has more opportunities for better jobs).
6. การใช้ Tense ในประโยคระหว่างปัจจุบันและอนาคต
ในกรณีที่ต้องการสื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและจะเกิดขึ้นในอนาคตพร้อมกัน เราสามารถใช้ Tense ในภาษาไทยได้โดยการเติมคำว่า “ก็จะ..และกำลังจะ..” เข้าไปกับกริยา เช่น
– เขากำลังจะไปเรียนต่อและก็จะไปทำงาน (He is going to continue studying and is also going to work).
– หลังจากฉันเรียนจบ ก็จะไปทำงานเลย (After I finish studying, I will go to work immediately).
7. การใช้ Tense ในการเล่าเรื่องในอดีต
เมื่อต้องการเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีต เราสามารถใช้ Tense ในภาษาไทยได้โดยการใช้คำว่า “เป็น”, “เคย”, “แล้ว” เป็นต้น เช่น
– เมื่อวันก่อนฉันเคยไปที่สวนสัตว์ (Yesterday, I went to the zoo).
– เมื่อสองปีที่แล้วเขาได้เป็นผู้ชนะในการแข่งขัน (Two years ago, he won the competition).
8. การใช้ Tense ในประโยคขอคำอธิบาย
เมื่อต้องการขอคำอธิบายเพิ่มเติมหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ เราสามารถใช้ Tense ในภาษาไทยได้โดยการใช้คำว่า “ว่า”, “ว่างั้น”, “ที่” เพื่อบอกถึงเหตุการณ์เพิ่มเติม เช่น
– เขาทำอะไรอยู่นอกจากกินอาหาร (What is he doing besides eating?).
– คุณพูดว่าคุณไปที่ไหน (Where did you say you went?).
9. การใช้ Tense ในการเรียงความสำคัญของเหตุการณ์
ในกรณีที่ต้องการเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆให้เป็นลำดับที่ถูกต้อง เราสามารถใช้ Tense ในภาษาไทยได้โดยการใช้คำว่า “ก่อน”, “หลังจาก”, “ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจาก” เพื่อเชื่อมต่อเหตุการณ์ต่างๆ เช่น
– ฉันกินอาหารก่อนที่จะไปเที่ยว (I ate before going on a trip).
– เขาได้ทำการศึกษารีดิมออกมาก่อนจากงานที่ยุ่งเหยิง (He studied journalism before quitting his busy job).
10. การใช้ Tense ในการเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเวลา
ในบางครั้งเราอาจต้องเล่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเวลาเป็นเรื่องราว เราสามารถใช้ Tense ในภาษาไทยได้โดยการใช้คำว่า “เป็น”, “เคย”, “ช่วง” เพื่อเรียกขึ้นมาเป็นว่า เช่น
– ฉันอยู่ในช่วงชีวิตที่สนุกสนานมาก (I am in a fun period of my life).
– เคยมีเรื่องตลกเกิดขึ้นก็ต้องพูดตลก (Whenever something funny happens, I have to tell a joke).
สรุปการใช้ Tense ในภาษาไทย
โดยสรุปแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้ Tense ในภาษาไทยสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ Tense ในประโยคบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน, Tense ในประโยคเพื่อตอบรับคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต, Tense ในประโยคเพื่อสื่อถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต, การใช้ Tense สำหรับเรื่องราวที่เป็นสาเหตุ-ผล, การใช้ Tense ใน
12 Tenses ครบในคลิปเดียว! | เรียน Grammar ภาษาอังกฤษฟรี กับครูดิว
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: การใช้tense สรุป tense เข้าใจง่าย, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด, tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt, tense ตัวอย่างประโยค, 12 tense มีอะไรบ้าง, ตารางสรุป tense pdf
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ การใช้tense
หมวดหมู่: Top 37 การใช้Tense
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
สรุป Tense เข้าใจง่าย
Tense is an essential part of language learning, and understanding tenses is crucial in mastering any language. In Thai, tense refers to the time at which an action takes place. Thai language has a simple tense system that includes the past, present, and future tenses. While there are fewer tenses compared to some other languages, it’s important to understand their usage and differences. In this article, we will provide an easy summary of tenses in Thai, including a FAQs section at the end.
Past Tense (tense อดีต)
The past tense in Thai is used to describe actions or events that have already occurred. It is typically formed by adding the word “ไป” (bpai) before the main verb. For example:
– เขาไปเรียน (khao bpai riian) – He/She went to study.
Another common way to express the past tense is by using the adjective “เมื่อวาน” (meua wan), which means “yesterday.” For instance:
– เมื่อวานผมไปดูหนัง (meua wan phom bpai duu nang) – Yesterday, I went to watch a movie.
Present Tense (tense ปัจจุบัน)
The present tense in Thai is used to describe actions or events that are happening at the time of speaking or are facts that are generally true. Unlike the past tense, Thai does not require conjugations for verbs in the present tense. Some examples include:
– เขาอยู่ที่บ้าน (khao yuu thee baan) – He/She is at home.
– สวัสดี (sawatdee) – Hello.
Future Tense (tense อนาคต)
The future tense in Thai is used to describe actions or events that will happen in the future. It is formed by adding the word “จะ” (ja) before the main verb. Some examples include:
– เราจะไปเที่ยว (rao ja bpai tiao) – We will go on a trip.
– พรุ่งนี้เขาจะมาเยี่ยม (phrngnee khao ja maa yiiam) – He/She will come to visit tomorrow.
Frequently Asked Questions (FAQs)
Q: Are there any irregular verbs in Thai that affect the tenses?
A: No, Thai has a simple verb conjugation system, and there are no irregular verbs. The same forms are used regardless of the tense.
Q: How can I differentiate between the future and present tense when there is no specific conjugation?
A: While Thai does not have specific conjugations for tenses, the context usually provides enough information to understand whether the sentence is referring to the present or future. If needed, time-related words or phrases can be added to clarify the intended tense.
Q: How do I form negative sentences in different tenses?
A: In Thai, adding the word “ไม่” (mai) before the verb helps to form a negative sentence in any tense. For example:
– เขาไม่ไป (khao mai bpai) – He/She did not go.
– เราไม่จะไปเที่ยว (rao mai ja bpai tiao) – We will not go on a trip.
Q: Can I use the present tense to describe future actions?
A: Yes, using the present tense to describe future actions is common in Thai. However, if you want to emphasize that the action will happen in the future, adding the word “จะ” (ja) before the verb is recommended.
Q: Why are there fewer tenses in Thai compared to some other languages?
A: Thai language relies more on context and time-related words or phrases to determine the intended tense. The simplicity of the Thai tense system allows for easier verb usage compared to languages with more complex tense systems.
In conclusion, understanding tenses in Thai is essential for effective communication. The past, present, and future tenses form the core of Thai tenses, and while there are fewer tenses compared to some other languages, their usage and differences need to be understood. By grasping the basic concepts of tense and using appropriate time-related words, learners can confidently express themselves in Thai.
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด Pdf
1. Simple Present Tense (Present Simple)
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือสภาวะในปัจจุบัน เช่น “I eat breakfast every day” (ฉันกินอาหารเช้าทุกวัน)
2. Present Continuous Tense (Present Progressive)
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น “She is reading a book right now” (เธอกำลังอ่านหนังสืออยู่ขณะนี้)
3. Present Perfect Tense
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่สมัยนั้นยังมีผลต่อปัจจุบัน เช่น “I have visited Thailand” (ฉันเคยไปเที่ยวประเทศไทย)
4. Present Perfect Continuous Tense
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เริ่มขึ้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เช่น “I have been studying English for two hours” (ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาสองชั่วโมงแล้ว)
5. Simple Past Tense (Past Simple)
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือสภาวะในอดีตเสร็จสิ้นแล้ว เช่น “He watched a movie last night” (เขาดูหนังคืนวาน)
6. Past Continuous Tense (Past Progressive)
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต เช่น “I was playing football when it started raining” (ฉันกำลังเล่นฟุตบอลเมื่อเริ่มต้นฝนตก)
7. Past Perfect Tense
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในอดีต เช่น “They had already left when I arrived” (พวกเขาออกไปแล้วเมื่อฉันมาถึง)
8. Past Perfect Continuous Tense
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เริ่มขึ้นในอดีตและเสร็จสิ้นในโอกาสใดๆในอดีตเข้ามาแล้ว เช่น “She had been working all day before she felt exhausted” (เธอทำงานตลอดวันก่อนที่เธอจะรู้สึกเหนื่อยล้า)
9. Simple Future Tense (Future Simple)
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์หรือสภาวะในอนุสัญญาณเป็นเวลาข้างหน้า เช่น “They will arrive tomorrow” (พวกเขาจะมาถึงวันพรุ่งนี้)
10. Future Continuous Tense (Future Progressive)
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “I will be studying when you arrive” (ฉันจะกำลังเรียนเมื่อเธอมาถึง)
11. Future Perfect Tense
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนุสัญญาณเป็นเวลาข้างหน้าแล้วสมบูรณ์แล้ว เช่น “By next year, I will have graduated from university” (ในปีหน้าฉันจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว)
12. Future Perfect Continuous Tense
ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเห็นผลต่ออนุสัญญาณในอนาคตและกำลังดำเนินการอยู่ที่จุดหนึ่ง เช่น “By the time he arrives, I will have been waiting for two hours” (เมื่อเขามาถึงฉันจะรอมาสองชั่วโมงแล้ว)
การเรียนรู้เรื่อง tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf สามารถทำได้โดยอ่านหนังสือเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ, เรียนกับครูสอนภาษา, หรือใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์จากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ เช่น British Council หรือ BBC Learning English เป็นต้น
FAQs:
1. การใช้ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf เป็นเรื่องยากไหม?
การใช้ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf อาจจะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้นในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แต่เมื่อคุณฝึกฝนและฝึกทำแบบฝึกหัดที่ถูกต้องคุณจะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
2. ควรเรียนรู้ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf อย่างไรบ้าง?
คุณสามารถศึกษาโครงสร้างและใช้รูปแบบแต่ละรูปแบบของ tense ด้วยการอ่านหนังสือ, การฟังบรรยาย, และการทำแบบฝึกหัด เพื่อฝึกทักษะในการใช้งานและเข้าใจความหมาย
3. มีวิธีทำให้การเรียนรู้ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf ง่ายขึ้นไหม?
คุณสามารถทำให้การเรียนรู้ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf ง่ายขึ้นได้โดยการฝึกอ่านและเขียนข้อความในแต่ละรูปแบบ tense, ฟังบรรยายในแต่ละ tense, และฝึกใช้งานแต่ละรูปแบบในสถานการณ์ประจำวัน
4. เป็นไปได้อย่างไรที่จะเรียนรู้ใช้ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf ได้ถูกต้อง?
การเรียนรู้ใช้ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf ได้ถูกต้องจำเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง คุณสามารถทำโจทย์ฝึกหัด, เขียนเรื่องสั้น, หรือเล่าเรื่องต่อเนื่องในแต่ละ tense เพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
การเรียนรู้ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ โดยต้องให้ความสำคัญกับการฝึกฝนและฝึกปฏิบัติในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้การใช้เวลาต่างๆ เป็นไปได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด
ในภาษาอังกฤษ กฎข้อหนึ่งที่มีความสำคัญสูงสุดคือ “การใช้ Tense” ย่อมเป็นสิ่งที่เข้าใจยากและซับซ้อน โดยเฉพาะเมื่อมีทั้ง 12 รูปแบบที่ต้องจัดการเข้ากัน. Tense หมายถึงวันที่หรือเวลาในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตที่ปรากฏในประโยค. เรียนรู้การใช้ Tense โดยละเอียดจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการสื่อสารเพื่อให้คนอื่นเข้าใจตามที่เราต้องการ. บทความนี้จะช่วยคุณในการเรียนรู้และเข้าใจทั้ง 12 รูปแบบ Tense ในภาษาอังกฤษอย่างละเอียด.
1. Present Simple Tense (ปัจจุบันกาลงาม): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่เป็นประจำหรือธรรมดา เช่น “I work in an office.”
2. Past Simple Tense (อดีตกาลงาม): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น “I went to the beach yesterday.”
3. Future Simple Tense (อนาคตกาลงาม): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “I will travel to Paris next week.”
4. Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลความคิด): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น “I am studying for my exam.”
5. Past Continuous Tense (อดีตกาลความคิด): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตระหว่างเวลานั้นๆ เช่น “I was reading a book when the phone rang.”
6. Future Continuous Tense (อนาคตกาลความคิด): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตระหว่างเวลานั้นๆ เช่น “I will be sleeping when you arrive.”
7. Present Perfect Tense (ปัจจุบันกาลแสดงความชุก): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตแต่เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน เช่น “I have lived in this city for 10 years.”
8. Past Perfect Tense (อดีตกาลแสดงความชุก): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนหน้าจุดใดจุดหนึ่งในอดีต เช่น “I had already eaten when he arrived.”
9. Future Perfect Tense (อนาคตกาลแสดงความชุก): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและจะเสร็จสิ้นในอนาคตเหล่านั้น เช่น “I will have finished my work by 5 o’clock.”
10. Present Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลแสดงความชุกแบบต่อเนื่อง): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตแต่กำลังดำเนินการต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบัน เช่น “I have been studying all day.”
11. Past Perfect Continuous Tense (อดีตกาลแสดงความชุกแบบต่อเนื่อง): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตและกำลังดำเนินการต่อเนื่องอยู่ในอดีตหลังจากข้อความอื่นๆ เช่น “I had been waiting for hours before she finally arrived.”
12. Future Perfect Continuous Tense (อนาคตกาลแสดงความชุกแบบต่อเนื่อง): ใช้ในการพูดถึงเรื่องที่จะเกิดในอนาคตและจะดำเนินการต่อเนื่องอยู่ในอนาคต หลังจากเวลาและข้อความบางอย่าง เช่น “I will have been working all day by the time you arrive.”
FAQs (คำถามที่พบบ่อย):
Q1: จำเป็นจะต้องรู้ตั้งแต่ต้นว่าใช้อะไรบ้างในการใช้ Tense เพื่อให้การสื่อสารเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่?
A1: ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้ง 12 รูปแบบ Tense ที่เกิดขึ้นในภาษาอังกฤษไปเลย เริ่มต้นด้วยปัจจุบัน อดีต และอนาคตที่เรียบง่ายก่อน แล้วเพิ่มขึ้นเมื่อคุณรู้สึกมั่นใจ
Q2: มีวิธีการจำเป็นในการฝึกฝนการใช้ Tense มากมายหรือไม่?
A2: สิ่งที่จำเป็นคือการทบทวนตัวอย่างประโยคที่ใช้ Tense ต่างๆ, การฝึกอ่านและฟังเนื้อหาที่ใช้ Tense ให้มากที่สุด, และการปฏิบัติในการออกเสียงประโยค
Q3: เราสามารถใช้ Tense โดยไม่ผิดพลาดได้หรือไม่?
A3: ทุกคนจะผิดพลาดเวลาที่เรียนรู้ Tense เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ซับซ้อน อย่าเป็นห่วงถ้าคุณผิดพลาด เพราะการใช้ Tense เป็นเรื่องที่ฝึกทำให้คล่องตัวเช่นกัน
ในสรุป Tense เป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ การใช้ Tense อย่างถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างทรงประสิทธิภาพ จำเป็นต้องปฏิบัติโดยการหัดฝึกใช้งานในทางปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม, อย่าลืมว่าการใช้ Tense ผิดพลาดไม่ได้หมายความว่าคุณทำผิดทุกสิ่ง คุณสามารถเรียนรู้และปรับปรุงในอีกครั้ง.
มี 22 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ การใช้tense.
ลิงค์บทความ: การใช้tense.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ การใช้tense.
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
- สรุป Tense ทั้ง 12 ใช้ยังไง โครงสร้างประโยคของแต่ละ … – Sanook
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
- หลักการใช้ 12 Tense อย่างละเอียด พร้อมโครงสร้าง tense ที่สรุป …
- 12 tense ในภาษาอังกฤษ: โครงสร้าง หลักการใช้ และสัญญาณการรับรู้
- สรุป 12 Tenses ฉบับรวบรัด! จำง่าย! เข้าใจทันทีแม้ไม่มีพื้นฐาน
- มัดรวมการใช้ Tense 12 แบบ จำง่าย หายงง! – Hotcourses Thailand
- Grammar: สรุปรวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- เทคนิคการเลือกใช้ Tense ให้คล่องในชีวิตประจำวัน
ดูเพิ่มเติม: lasbeautyvn.com/category/digital-studios