การใช้ Tense
การใช้ Tense ในภาษาไทยเป็นเรื่องที่สำคัญในการสื่อสารและเข้าใจความหมายของประโยคให้ถูกต้อง โดย Tense หมายถึงการใช้รูปของคำกริยาเพื่อแสดงช่วงเวลาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ภาษาไทยมีรูปแบบไวยากรณ์ที่ซับซ้อนน้อยกว่าภาษาอังกฤษ เนื่องจากไม่มีรูปผันของคำกริยาแต่ใช้เพียงลักษณะเสียงและบุคลิกภาพในคำกริยาเพื่อแสดงแนวของเวลา แต่ในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการใช้ Tense ในภาษาไทยเบื้องต้น
1. การอธิบาย Tense
ตัวอย่างโดยภาษาอังกฤษ เมื่อเราพูด “I eat” (ฉันกิน), กติกาตำหนิในอดีตจะเป็น “I ate” (ฉันกินแล้ว) และในอนาคตจะเป็น “I will eat” (ฉันจะกิน) เป็นต้น ในภาษาไทย เราใช้ลักษณะเสียงและบุคลิกภาพในคำกริยาเพื่อแสดงเวลา ถ้าเราพูด “ฉันกิน” แล้วเวลาไม่ได้ถูกกำหนดไว้ จะถือว่าเป็นปัจจุบัน แต่ถ้าเราพูด “ฉันกินแล้ว” แล้วเวลาไม่ได้ถูกกำหนด จะมีความหมายเป็นอดีต
2. การใช้ Tense ในปัจจุบัน
ในภาษาไทยเราใช้ Tense ในปัจจุบันในกรณีที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือกำลังเกิดขึ้นอยู่ ตัวอย่างเช่น
– ฉันกินข้าว (I eat rice)
– เขาดูทีวี (He watches TV)
ในกรณีที่ระยะเวลาเหล่านี้ยังไม่ได้สิ้นสุดลง และยังเกิดอยู่ การใช้ Tense ในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไร
3. การใช้ Tense ในอดีต
ในภาษาไทย เราใช้ Tense ในอดีตเพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่เรากำลังพูดหรือเขียน ตัวอย่างเช่น
– ฉันกินข้าวเมื่อวาน (I ate rice yesterday)
– เขาดูทีวีเมื่อคืน (He watched TV last night)
ในกรณีที่เปลี่ยนเป็นกรณีสิ้นสุดลง เช่น “ฉันกินข้าว” แต่ระยะเวลาในอดีตมีการกำหนด เช่น “ฉันกินข้าวเมื่อวาน” เราจะต้องเพิ่มคำว่า “เมื่อวาน” เพื่อแสดงว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนหน้าที่เรากำลังพูดหรือเขียน
4. การใช้ Tense ในอนาคต
ในภาษาไทย เราใช้ Tense ในอนาคตเพื่อแสดงถึงเหตุการณ์หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ตัวอย่างเช่น
– ฉันจะกินข้าว (I will eat rice)
– เขาจะดูทีวี (He will watch TV)
ในกรณีที่เราต้องการแสดงระยะเวลาในอนาคต เช่น “ฉันจะกินข้าว” เราสามารถเพิ่มคำว่า “ในอนาคต” เพื่อให้คำพูดมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
5. การผสม Tense ในประโยค
ในภาษาไทย เมื่อต้องการผสม Tense ในประโยค เราสามารถใช้คำว่า “กำลัง” เพื่อแสดงรูปของคำกริยาในช่วงเวลาปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น
– ฉันกำลังกินข้าว (I am eating rice)
– เขากำลังดูทีวี (He is watching TV)
ในกรณีที่ต้องการใช้ Tense ในประโยคแต่ไม่เอาคำว่า “กำลัง” สามารถใช้รูปของคำกริยาผันตามบุคคลและลักษณะเสียงในปัจจุบัน เพื่อแสดงรูปของคำกริยาในปัจจุบัน เช่น
– ฉันกินอาหารอยู่ (I am eating)
– เขาดูทีวีอยู่ (He is watching)
6. การใช้ Tense ในประโยคเงื่อนไข
ในภาษาไทย เราสามารถใช้ Tense ในประโยคเงื่อนไขเพื่อแสดงการเกิดเหตุการณ์หากมีเงื่อนไขเป็นจริง ตัวอย่างเช่น
– ถ้าฉันไม่กลัว ฉันจะไปเที่ยว (If I am not scared, I will go on a trip)
– ถ้าเขามาเร็ว ฉันจะรอ (If he comes early, I will wait)
ในประโยคเงื่อนไข เราใช้ Tense ในประโยคของเงื่อนไข (clause) เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และใช้ Tense ในประโยคผลที่เกิดขึ้นหากเงื่อนไขเป็นจริง (clause) เพื่อแสดงผลของการเป็นจริง
7. การใช้ Tense ในประโยคหลักและรอง
ในภาษาไทย เราสามารถใช้ Tense ในประโยคหลักและประโยครอง ตัวอย่างเช่น
– เขาบอกว่าเขากินข้าว (He said that he ate rice)
– เธอว่างัน้ำที่หิมะก่อน (She will swim in the snow)
ในกรณีที่ใช้ Tense ในประโยคตัวอย่างเมื่อก่อน ภายในประโยคหลัก จะมีการเปลี่ยนแปลงของ Tense ตามระยะเวลา และในประโยครอง จะใช้ Tense เท่าเดิมของประโยคหลัก
FAQs
Q: สรุป tense เข้าใจง่ายคืออะไร?
A: Tense เข้าใจง่ายคือการใช้รูปของคำกริยาเพื่อแสดงช่วงเวลาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
Q: tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf และ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt คืออะไร?
A: tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf และ tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt คือเอกสารฉบับพิมพ์และการนำเสนอที่สอนรายละเอียดและข้อมูลเกี่ยวกับ tense ทั้ง 12 ในภาษาไทย
Q: tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่างคืออะไร?
A: tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่างคือเกี่ยวกับการใช้รูปของคำกริยาแต่ละ tense ในประโยค เพื่อแสดงช่วงเวลาที่เกิดขึ้น
Q: tense ภาษาไทยมีกี่อย่าง?
A: ภาษาไทยมีอย่างละเอียด 12 tense ได้แก่ ปัจจุบัน, ประสม, อดีต, อนาคต, ปัจจุบันกำลัง…อยู่, ปัจจุบันกำลัง…แล้ว, ปัจจุบันกำลัง…ตรงนี้, อดีตกำลัง…นื้บหาย, อดีตกำลัง…นี้, อดีตกำลัง…แล้ว, ปานกลาง, อนาคตกำลัง…อยู่
Q: มีตารางสรุป tense pdf การใช้ tense อย่างละเอียดอย่างไร?
A: ตารางสรุป tense pdf การใช้ tense อย่างละเอียดจะเป็นเอกสารฉบับพิมพ์ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ tense ทั้ง 12 ในภาษาไทยไว้อย่างละเอียด
สรุปการใช้ Tense ในภาษาไทยเป็นเรื่องสำคัญในการสื่อสารและเข้าใจความหมายของประโยคให้ถูกต้อง ภาษาไทยจะใช้ลักษณะเสียงและบุคลิกภาพในคำกริยาเพื่อแสดงช่วงเวลาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการใช้ Tense ในปัจจุบัน เอาไว้สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือกำลังเกิดขึ้นอยู่ ในอดีตเพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน
12 Tenses ครบในคลิปเดียว! | เรียน Grammar ภาษาอังกฤษฟรี กับครูดิว
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: การใช้ tense สรุป tense เข้าใจง่าย, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด, tense ทั้ง 12 พร้อมตัวอย่าง, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt, tense ตัวอย่างประโยค, 12 tense มีอะไรบ้าง, ตารางสรุป tense pdf
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ การใช้ tense
หมวดหมู่: Top 31 การใช้ Tense
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
สรุป Tense เข้าใจง่าย
ในภาษาไทยเราใช้ Tense เพื่อแสดงเวลาที่เกิดเหตุการณ์หรือเกิดปฏิเสธของเหตุการณ์ ภาษาไทยไม่มี Tense ในทางปฏิบัติจริง แต่ก็มีการใช้คำที่เป็นประโยครูปแบบของ Tense เพื่อแสดงช่วงเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นหรือเกิดปฏิเสธ โดยประโยคที่เป็นประโยครูปแบบนี้จะถูกนำไปใช้ในกรณีที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิด นอกจากนี้ยังมีบางกรณีที่ใช้เวลาในปัจจุบันเพื่อแสดงความรู้สึกตอนนั้นๆ ดังนั้นเรามาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tense ในภาษาไทยและวิธีการใช้งานต่างๆ ในบทความนี้
โครงสร้างหลักของ Tense ในภาษาไทย
ในภาษาไทยจะมี Tense หลังกริยาหลัก โดยเราใช้สระอารีขัดกัน (วรรณยุกต์) ต่อด้วยตัวหน้าตัวเลขที่แสดงเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้น โดย Tense หลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภาษาไทยมีดังนี้
1. ปัจจุบัน: คำกลุ่มที่เรียกว่า คำกริยาประจำตัวที่ 1 ตามข้อความประพจน์ ซึ่งสามารถแสดงการเกิดเหตุการณ์ในปัจจุบัน หรือการแสดงความรู้สึกตอนนี้ได้ เช่น กิน (ตัวเองกิน), ข้าว (คนอื่นกิน)
2. อดีต: คำกริยาที่มีสระก่อนตัวเลข ตามด้วยตัวหน้าตัวเลขที่แสดงเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต เช่น เอา > เอากี่วัน
3. อนาคต: คำกริยาที่มีสระหลังตัวเลข ตามด้วยตัวหน้าตัวเลขที่แสดงเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในอนาคต เช่น มา > มาอายุเท่าไร
ในแต่ละ Tense นี้จะมีการใช้คำกริยาประกอบด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุที่การใช้งาน Tense ในภาษาไทยนั้นซับซ้อนกว่าในภาษาอังกฤษ
การใช้ Tense ในภาษาไทย
การใช้ Tense หลักที่ 1 คือปัจจุบัน เป็นการแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือการแสดงความรู้สึกตอนนี้ เช่น
1. คำกริยาประจำตัวที่ 1 เช่น กิน อยู่ เป็นต้น
– กิน: เป็นคำกริยาที่ใช้บ่อยที่สุดในการแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือการแสดงความรู้สึกตอนนี้ เช่น ฉันกินข้าว
– อยู่: เป็นคำกริยาที่ใช้ในการแสดงการอยู่ เช่น ฉันอยู่บ้าน
2. คำกริยาประจำตัวที่ 2 เช่น เป็น ไป เรียน เป็นต้น
– เป็น: ใช้ในการแสดงคุณสมบัติหรืออาชีพ เช่น เขาเป็นคนไทย
– ไป: ใช้ในการแสดงการเคลื่อนที่ออกไปจากสถานที่ที่เราอยู่ เช่น เขาไปเกาหลี
– เรียน: ใช้ในการแสดงการทำกิจกรรมในปัจจุบัน เช่น เขาเรียนมหาวิทยาลัย
การใช้ Tense หลักที่ 2 คืออดีต เป็นการแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น
1. คำกริยาที่มีสระก่อนตัวเลข เช่น อาบ > อาบวันนี้
– อาบ: ใช้ในการแสดงการอาบน้ำ เช่น เมื่อวานผมอาบน้ำ
การใช้ Tense หลักที่ 3 คืออนาคต เป็นการแสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น
1. คำกริยาที่มีสระหลังตัวเลข เช่น ผลิต > ผลิตอาหารพรุ่งนี้
– ผลิต: ใช้ในการแสดงการผลิตสิ่งของ เช่น เราจะผลิตรถยนต์ใหม่
FAQs เกี่ยวกับ Tense ในภาษาไทย
คำถาม: เหตุการณ์ในอภิปรายใช้ Tense อะไรในภาษาไทย?
คำตอบ: เราใช้ Tense หลักที่ 1 คือ ปัจจุบัน เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
คำถาม: แล้วเหตุการณ์ในอดีตและอนาคตใช้ Tense อะไร?
คำตอบ: เราใช้ Tense หลักที่ 2 คืออดีต เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และเราใช้ Tense หลักที่ 3 คืออนาคต เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คำถาม: มีคำกริยาใดบ้างที่ใช้เติม Tense ในภาษาไทย?
คำตอบ: สำหรับคำกริยาในภาษาไทย เราไม่ได้เติม Tense เข้าไป เราใช้สระอารีขัดกันเพื่อแสดงเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแทน
คำถาม: ควรจำ Tense ในภาษาไทยอย่างไร?
คำตอบ: เราควรเรียนรู้ทรัพยากรต่างๆ ที่มีให้ในการศึกษา และฝึกปฏิบัติการใช้ Tense ในภาษาไทย อ่านหนังสือ, ฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และฝึกปฏิบัติกับการสื่อสารกับคนที่มีภาษาเป็นภาษาต้นฉบับเป็นตัวช่วยได้เช่นกัน
ในบทความนี้ เราได้ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับ Tense เข้าใจง่ายในภาษาไทย การใช้งาน Tense ในภาษาไทยไม่ซับซ้อนเท่ากับภาษาอื่น แต่ยังคงมีความท้าทายในการแปลงเทสผ่านภาษาอื่น ความรู้และทักษะในการใช้งาน Tense เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปรับปรุงภาษาไทยของเราให้ดียิ่งขึ้น ออกเสียงที่ถูกต้องและเข้าใจได้ง่ายขึ้น สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Tense เช่นกัน
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด Pdf
ในภาษาอังกฤษ เรามีแนวเวลาทั้งหมด 12 แนวที่ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งแต่ละแนวจะสอดคล้องกับประโยคที่เกิดขึ้นในเวลาที่แตกต่างกัน การเข้าใจแนวเวลาในภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เราสื่อสารอย่างถูกต้องและเข้าใจทั้งความหมายและประโยคที่เกี่ยวข้องโดยเป็นรูปแบบที่ถูกต้อง
ในบทความนี้ เราจะศึกษาแต่ละแนวเวลาในภาษาอังกฤษอย่างละเอียด รวมถึงการใช้และบทนิยามของแต่ละแนว มาเริ่มกันเลย!
1. แนวเวลาปัจจุบัน (Present Simple)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์หรือสถานะที่เป็นจริงในปัจจุบัน โดยไม่ส่งเสริมให้เราระบุเวลาเป็นอย่างมาก เช่น “I play football” (ผมเล่นฟุตบอล)
2. แนวเวลาประจำวัน (Present Continuous)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเน้นถึงเวลาที่เกิดขึ้น เช่น “I am playing football” (ฉันกำลังเล่นฟุตบอล)
3. แนวเวลาระหว่างวันอ้างอิง (Present Perfect)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากอดีตและยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยบ่งบอกถึงเวลาที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เช่น “I have played football” (ฉันเคยเล่นฟุตบอล)
4. แนวเวลาของผ่านไป (Present Perfect Continuous)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากอดีตและยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเน้นถึงระยะเวลาที่เกิดขึ้น เช่น “I have been playing football” (ฉันเล่นฟุตบอลมา)
5. แนวเวลาแสดงอนาคต (Future Simple)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยไม่ระบุว่าเมื่อไหร่เอง เช่น “I will play football” (ฉันจะเล่นฟุตบอล)
6. แนวเวลาต่อเนื่องของอนาคต (Future Continuous)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยเน้นแนวโน้มหรือต่อเนื่อง เช่น “I will be playing football” (ฉันจะกำลังเล่นฟุตบอล)
7. แนวเวลาใช้ในการตั้งคำถาม (Future Simple – Will)
เราใช้แนวเวลานี้ในการสอบถามเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น “Will you play football?” (คุณจะเล่นฟุตบอลหรือเปล่า)
8. แนวเวลาใช้ในภาคผันแปร (Future Simple – Going to)
ใช้เน้นถึงแนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์ในอนาคต โดยระบุเวลาที่เป็นเรื่องแน่ชัด เช่น “I am going to play football tomorrow” (ฉันจะเล่นฟุตบอลพรุ่งนี้)
9. แนวเวลาใช้ในการตั้งคำถาม (Future Continuous)
เราใช้แนวเวลานี้ในการสอบถามเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง เช่น “Will you be playing football?” (คุณจะกำลังเล่นฟุตบอลใช่ไหม)
10. แนวเวลาแสดงอนาคตยุติธรรม (Future Perfect)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ที่จะสมบูรณ์ลงในอนาคตไปแล้ว เช่น “I will have played football” (ฉันจะเล่นฟุตบอลแล้ว)
11. แนวเวลาแสดงอนาคตยุติธรรมต่อเนื่อง (Future Perfect Continuous)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ที่จะสมบูรณ์ในอนาคตโดยเน้นเวลาที่เบาะแส เช่น “I will have been playing football” (ฉันจะกำลังเล่นฟุตบอลมา)
12. แนวเวลาแสดงอดีต (Past Simple)
แนวเวลานี้ใช้ในการแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและเสร็จสิ้นแล้ว โดยไม่มีการแสดงอัตราส่วนหรือความถี่ เช่น “I played football” (ฉันเคยเล่นฟุตบอล)
—
คำถามที่พบบ่อย
Q: จะใช้อันไหนคือแนวเวลาที่ถูกต้องในปัจจุบัน?
A: แนวเวลาปัจจุบัน ใช้ Present Simple หรือ Present Continuous ขึ้นอยู่กับบทความและเนื้อหา
Q: ผมควรใช้อันไหนถ้าต้องการพูดถึงเหตุการณ์จริงในอดีต?
A: แนวเวลาอดีต ใช้ Past Simple
Q: การใช้อันไหนคือวิธีการแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ?
A: แนวเวลาปัจจุบัน ใช้ Present Perfect
Q: การใช้อันไหนเพื่อเน้นเวลาที่ตั้งใจที่จะทำอะไรในอนาคต?
A: แนวเวลาอนาคต ใช้ Future Simple – Will
Q: จะใช้อันไหนถ้าเราต้องการเน้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตและยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง?
A: แนวเวลาอนาคต ใช้ Future Continuous
พบ 34 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ การใช้ tense.
ลิงค์บทความ: การใช้ tense.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ การใช้ tense.
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
- สรุป Tense ทั้ง 12 ใช้ยังไง โครงสร้างประโยคของแต่ละ … – Sanook
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
- หลักการใช้ 12 Tense อย่างละเอียด พร้อมโครงสร้าง tense ที่สรุป …
- 12 tense ในภาษาอังกฤษ: โครงสร้าง หลักการใช้ และสัญญาณการรับรู้
- มัดรวมการใช้ Tense 12 แบบ จำง่าย หายงง! – Hotcourses Thailand
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- Grammar: สรุปรวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด
- สรุป 12 Tenses ฉบับรวบรัด! จำง่าย! เข้าใจทันทีแม้ไม่มีพื้นฐาน
- เทคนิคการเลือกใช้ Tense ให้คล่องในชีวิตประจำวัน
ดูเพิ่มเติม: https://lasbeautyvn.com/category/digital-studios