การใช้ Must Have To
“Must” เป็นคำกริยาที่มีความหมายแสดงถึงความจำเป็น หรือความเข้มแข็งของการกระทำ ซึ่งใช้ในประโยคเพื่อแสดงคำสั่งบังคับหรือการให้เอาใจใส่ มักได้ร่วมกับกริยาอื่น ๆ เพื่อสร้างประโยคที่มีความชัดเจนและเข้มแข็งยิ่งขึ้น
การแสดงความเป็นบังคับใช้
เราใช้ “must” เพื่อแสดงความเป็นบังคับใช้ หรือการบังคับให้ทำบางสิ่งตามที่กำหนด หรือตามที่ถูกเรียกหามา ตัวอย่างเช่น:
– You must study for the exam. (คุณต้องเรียนเตรียมสอบ)
– We must finish the report by tomorrow. (เราต้องเสร็จสิ้นรายงานภายในวันพรุ่งนี้)
– She must be here on time. (เธอต้องมาถึงที่นี่ตรงเวลา)
การแสดงความเป็นบังคับที่มีเหตุผล
เราใช้ “must” เพื่อแสดงความเป็นบังคับที่มีเหตุผล หรือการบังคับใช้ที่ของแสดงว่ามีตรงกับสิ่งที่เราคาดหวังหรือต้องการ ตัวอย่างเช่น:
– You’ve been coughing a lot lately. You must see a doctor. (คุณไอบ่อยมากในช่วงนี้ คุณต้องไปพบแพทย์)
– It’s already 10 PM. We must go home now. (เวลาเป็น 10 โมงเย็นแล้ว เราต้องกลับบ้านทันที)
การใช้ “must” ในตำแหน่งกริยารูปแบบที่ 1 (ต้องการที่จะ)
เราใช้ “must” ด้วยกริยาที่เป็นกริยารูปแบบที่ 1 (base form) เพื่อแสดงความปรารถนาหรือความต้องการที่จะทำบางสิ่ง ตัวอย่างเช่น:
– I must eat pizza tonight. (ฉันต้องการกินพิซซ่าในคืนนี้)
– He must see the movie. (เขาต้องการดูหนัง)
– We must visit that museum. (เราต้องการไปชมพิพิธภัณฑ์นั้น)
การใช้ “must” ในการแสดงคำสั่งหรือการแนะนำ
เราใช้ “must” เพื่อแสดงคำสั่งหรือการแนะนำอย่างเข้มข้น ตัวอย่างเช่น:
– You must clean your room right now. (คุณต้องทำความสะอาดห้องของคุณเลย)
– You must try this new restaurant. The food is amazing. (คุณต้องลองห้างสร้างอาหารร้านใหม่นี้สิ อาหารอร่อยมาก)
– You must watch that movie. It’s really good. (คุณต้องดูหนังที่ได้มา มันดีมาก)
การใช้ “must” ในกริยาปฏิเสธกริยารูปแบบที่ 1
เราใช้ “must” พร้อมกับการกริยาปฏิเสธ เพื่อแสดงความไม่เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น:
– She mustn’t eat too much chocolate. (เธอไม่ควรกินช็อกโกแลตมากเกินไป)
– They mustn’t be late for the meeting. (พวกเขาต้องไม่มาสายสำหรับการประชุม)
การใช้ “must” เพื่อเส้นเลือนคำขนาดเล็กๆ
บางครั้งเราใช้ “must” เพื่อเส้นเลือนคำขนาดเล็กๆ เพื่อแสดงความเชื่อมั่น หรือการรับรู้ว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น:
– It’s already 7 PM. They must be at home. (เวลาเป็น 7 โมงเย็นแล้ว พวกเขาต้องอยู่ที่บ้าน)
– He must be tired after working all day. (เขาต้องเหนื่อยหลังทำงานตลอดวัน)
การใช้ “must” เพื่อแสดงความเข้มแข็งและว่าลูกไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ของผู้พูด
บางครั้งเราใช้ “must” เพื่อแสดงความเข้มแข็งและว่าลูกไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ของผู้พูด ตัวอย่างเช่น:
– He must be crazy to quit such a good job. (เขาคงบ้าที่จะลาออกจากงานที่ดีแบบนี้)
– She must be lying. I don’t believe her. (เธอคงพูดโกหก เราไม่เชื่อเธอ)
FAQs:
1. การใช้ “must” และ “mustn’t” ต่างกันอย่างไร?
“Must” ใช้เพื่อแสดงความเป็นบังคับต้องทำบางสิ่ง ในขณะที่ “mustn’t” ใช้เพื่อแสดงความห้ามหรือความไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
2. การใช้ “have to” และ “has to” ต่างกันอย่างไร?
“Have to” ใช้ในกริยาของบุคคลที่หนึ่ง (I, you, we, they) ในขณะที่ “has to” ใช้ในกริยาของบุคคลที่สามที่เป็นเดี่ยว (he, she, it)
3. การใช้ “mustn’t” และ “don’t have to” ต่างกันอย่างไร?
“Mustn’t” ใช้เพื่อแสดงความห้ามหรือความไม่ควรทำบางสิ่ง ในขณะที่ “don’t have to” ใช้เพื่อแสดงความไม่จำเป็นหรือไม่ต้องทำบางสิ่ง
4. การใช้ “had to” และ “must” ต่างกันอย่างไร?
“Had to” ใช้เพื่อแสดงกระทำที่จำเป็นในอดีต ในขณะที่ “must” ใช้เพื่อแสดงกระทำที่จำเป็นในปัจจุบันหรืออนาคต
5. การใช้ “must be” และ “mustn’t be” ต่างกันอย่างไร?
“Must be” ใช้เพื่อแสดงความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กล่าวมานั้นเป็นจริง ในขณะที่ “mustn’t be” ใช้เพื่อแสดงว่าสิ่งที่กล่าวมานั้นไม่เป็นจริง
6. ทำไมต้องใช้ “have to” แทน “must” บ้างครั้ง?
ในบางกรณี “have to” ใช้แทน “must” เพื่อแสดงความปรารถนาหรือความต้องการที่แข็งแกร่งน้อยลงหรือค่อนข้างบังคับ โดย “have to” สามารถใช้กับทุกบุคคลได้ ไม่ว่าจะเป็นกริยาของบุคคลที่หนึ่งหรือสาม
7. มีตัวอย่างประโยคการใช้ “have to” ได้ไหม?
– I have to get up early tomorrow. (ฉันต้องตื่นเช้าวันพรุ่งนี้)
– They have to complete the project by next week. (พวกเขาต้องเสร็จสิ้นโครงการภายในสัปดาห์หน้า)
8. แล้วทำไมต้องใช้ “don’t have to” บ้างครั้ง?
“don’t have to” ใช้เพื่อแสดงความไม่จำเป็นหรือไม่ต้องทำบางสิ่ง แต่ถ้ามีความปรารถนาที่จะทำก็สามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น:
– You don’t have to wear a tie for the casual dinner. (คุณไม่ต้องสวมเนคไทสำหรับอาหารค่ำที่ไม่เป็นทางการ)
– We don’t have to go to the meeting if we don’t want to. (เราไม่ต้องไปประชุมถ้าเราไม่ต้องการที่จะไป)
9. การใช้ “must have to” เป็นอย่างไร?
เราใช้ “must have to” เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง “must” และ “have to” ในประโยค โดย “must” อยู่หน้า “have to” เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับคำบังคับใช้ ตัวอย่างเช่น:
– I must have to work late tonight. (ฉันต้องทำงานเกี่ยวกับคุณเมื่อคืน)
– They must have to study hard for the exam. (พวกเขาต้องเรียนอย่างหนักสำหรับการสอบ)
10. การใช้ “must” ในประโยคเป็นอย่างไร?
เมื่อใช้ “must” ในประโยค ให้ใส่กริยาในรูป present simple (ซึ่งเป็นรูปพิเศษของกริยารูปแบบที่ 1) หลังจาก “must” เพื่อเป็นตำแหน่งของกริยาในประโยค ตัวอย่างเช่น:
– He must go to the dentist. (เขาต้องไปที่ทันตแพทย์)
– She must read the book before the movie. (เธอต้องอ่านหนังสือก่อนที่จะไปดูหนัง)
การใช้ Must, Have To และ Should ต่างกันอย่างไร ใช้อย่างไร พร้อมตัวอย่างประโยค
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: การใช้ must have to must mustn’t การใช้, การใช้ have to has to, การใช้ mustn’t, had to การใช้, must be การใช้, have to ตัวอย่างประโยค, have to don’t have to ใช้ยังไง, don’t have to ใช้ยังไง
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ การใช้ must have to
หมวดหมู่: Top 60 การใช้ Must Have To
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
Must Mustn’T การใช้
Using “must” (การใช้ must) in Thai:
In Thai, “must” is translated as “ต้อง” (dtông). It is often used to express obligations, requirements, or necessities. When constructing sentences with “must,” we typically follow a subject + verb + ต้อง (dtông) pattern. For instance:
1. เขาต้องทำการบ้าน (kǎo dtông tham gaan bâan) – He must do his homework.
2. เด็กต้องกินอาหารทุกวัน (dek dtông gin aa-hǎan túk wan) – Children must eat food every day.
However, in Thai, the use of “ต้อง” (dtông) isn’t always necessary to express obligations. Instead, we can utilize another common structure where the verb alone implies the obligation, especially in casual conversations. For example:
1. เธอกินอาหาร (thuea gin aa-hǎan) – You must eat. (casual)
Using “mustn’t” (การใช้ mustn’t) in Thai:
When we want to express prohibitions or things that should not be done, we can use “mustn’t” in Thai. The word “mustn’t” translates to “ไม่ควร” (mâi kuan), and it is often placed before verbs or actions to depict the forbidden nature. For instance:
1. เด็กไม่ควรเล่นกล้าม (dek mâi kuan lên glaam) – Children mustn’t play with fire.
2. เราไม่ควรขายของปลอม (rao mâi kuan kǎai khǎawng bplǒm) – We mustn’t sell counterfeit goods.
Just like with “must,” Thai also allows us to avoid using “ไม่ควร” (mâi kuan) to express prohibitions. By using certain verbs or phrases alone, we can imply the prohibition. For example:
1. เราไม่ขายของปลอม (rao mâi kǎai khǎawng bplǒm) – We mustn’t sell counterfeit goods. (casual)
Common misconceptions and FAQs about using “must” and “mustn’t” in Thai:
Q: Are “must” and “mustn’t” the only ways to express obligations and prohibitions in Thai?
A: No, while “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) are commonly used, Thai offers different verbs and phrases that can also convey obligations or prohibitions. For example, “ต้องการ” (dtông gaan) means “need” and can be used interchangeably with “ต้อง” (dtông) in some cases.
Q: Can “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) be used in formal writing?
A: Absolutely! Both “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) are suitable for all types of writing, including formal documents, academic papers, or business correspondence. They add clarity and formality to your expressions.
Q: Is it acceptable to omit “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) while speaking?
A: Yes, in casual conversations, it is common to omit these words since the obligation or prohibition can be inferred from the verb or action itself. However, in formal situations or when emphasizing the importance of the obligation or prohibition, it is better to include “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan).
Q: Are “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) only used for obligations and prohibitions?
A: While their primary use is for obligations and prohibitions, “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) can also express strong recommendations or advice. In such cases, they convey a sense of urgency or necessity, guiding others towards important actions.
Q: Can we use “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) with all verbs?
A: Yes, “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) can be used with most verbs in Thai. However, it is essential to remember that different verbs may require additional particles or modifications for clarity. For instance, “ต้องจำ” (dtông jam) means “must remember” and “ต้องหา” (dtông hǎa) means “must find.”
In conclusion, understanding the usage of “must” and “mustn’t” (การใช้ must และข้อห้าม mustn’t) is crucial for effective communication in Thai. By learning and applying these expressions correctly, you can express obligations, requirements, and prohibitions accurately in various contexts. Remember, while “ต้อง” (dtông) and “ไม่ควร” (mâi kuan) are commonly used, Thai provides alternative verbs and phrases to convey similar meanings. So let these expressions guide you towards clearer and more precise communication in Thai.
การใช้ Have To Has To
คำว่า “have to” และ “has to” เป็นคำที่ใช้เพื่อแสดงบังคับหรือกำหนดให้ทำบางสิ่ง อย่างไรก็ตาม รูปแบบการใช้คำเหล่านี้จะมีข้อแตกต่างกันตามบุคคลหรือเฉพาะกาลเวลาที่เกี่ยวข้อง ในบทความนี้เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับการใช้ “have to” และ “has to” ในภาษาไทยโดยละเอียด รวมถึงการใช้ในประโยคต่าง ๆ รวมถึงคำถามที่พบบ่อยตามท้ายบทความนี้ด้วย
การใช้ “have to” ในภาษาไทย
โดยทั่วไป “have to” เป็นคำกริยาช่วยที่ใช้หลังกริยาหลักเพื่อแสดงถึงบทบังคับหรือกำหนดให้ทำบางสิ่ง ในภาษาไทยเราใช้คำว่า “ต้อง” เป็นคำแปลที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น:
– I have to go to work. (ผมต้องไปทำงาน)
– She has to study for her exams. (เธอต้องเรียนสำหรับการสอบของเธอ)
– They have to finish the project by tomorrow. (พวกเขาต้องจบโครงการภายในวันพรุ่งนี้)
“Have to” ยังสามารถใช้ในรูปที่ต่าง ๆ และในช่วงเวลาต่าง ๆ ดังนี้:
– I had to talk to my boss yesterday. (ผมต้องคุยกับหัวหน้าวานนี้)
– We will have to wake up early tomorrow. (พวกเราต้องตื่นเช้าพรุ่งนี้)
– You have to be quiet during the ceremony. (คุณต้องเงียบเหมือนธรรมดาในระหว่างพิธี)
การใช้ “has to” ในภาษาไทย
“Has to” เป็นรูปกริยาช่วยที่ใช้กับบุคคลในกลุ่มที่สาม เพื่อแสดงถึงการบังคับหรือกำหนดให้ทำบางสิ่ง ในภาษาไทยเราใช้คำว่า “ต้อง” เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น:
– He has to finish his homework. (เขาต้องจบการบ้านของเขา)
– My sister has to clean her room. (น้องสาวของฉันต้องทำความสะอาดห้องของเธอ)
– The dog has to be fed twice a day. (สุนัขต้องได้รับอาหารสองครั้งต่อวัน)
“Has to” ยังสามารถใช้ในรูปที่ต่าง ๆ และในช่วงเวลาต่าง ๆ ดังนี้:
– She had to leave early this morning. (เธอต้องออกเช้ามืดนี้)
– It will have to be repaired soon. (มันต้องถูกซ่อมแล้วก็น่าจะเร็วนี้เถอะ)
– The train has to arrive on time. (รถไฟต้องมาถึงตรงเวลา)
ประโยคต่าง ๆ ที่ใช้ “have to” และ “has to”
นอกจากการใช้ “have to” และ “has to” ในรูปแบบที่อธิบายไปแล้ว เราสามารถใช้คำเหล่านี้ในประโยคอื่น ๆ อีกมากมาย ตามตัวอย่างด้านล่างนี้:
– Do you have to go now? (คุณต้องไปเดี๋ยวนี้เหรอ?)
– I don’t have to work on weekends. (ฉันไม่ต้องทำงานวันหยุด)
– She has to finish the report before lunch. (เธอต้องจบรายงานก่อนกินเที่ยง)
– We have to be at the airport by 8 am. (เราต้องอยู่ที่สนามบินก่อนเวลา 8 โมงเช้า)
– They have to wear uniforms to school. (พวกเขาต้องสวมเครื่องแบบไปโรงเรียน)
FAQs เกี่ยวกับ การใช้ “have to” และ “has to”
คำถามที่ 1: คำว่า “have to” และ “has to” แปลว่าอะไรในภาษาไทย?
คำตอบ: คำว่า “have to” และ “has to” ในภาษาไทยแปลว่า “ต้อง”
คำถามที่ 2: “Have to” ใช้กับบุคคลในกลุ่มใด?
คำตอบ: “Have to” ใช้กับบุคคลในกลุ่มที่หนึ่ง หรือกรรมกรในประโยค (I, you, we, they)
คำถามที่ 3: “Has to” ใช้กับบุคคลในกลุ่มใด?
คำตอบ: “Has to” ใช้กับบุคคลในกลุ่มที่สามหรือกรรมกรในประโยค (he, she, it)
คำถามที่ 4: การใช้ “have to” และ “has to” มีรูปแบบอื่น ๆ อีกมากไหม?
คำตอบ: ใช่, การใช้ “have to” และ “has to” มีรูปแบบอื่น ๆ เช่น “had to” (ในอดีต), “will have to” (ในอนาคต), “have had to” (ในอดีตกรมกร) และอื่น ๆ
ในสรุป “have to” และ “has to” เป็นคำที่ใช้ในภาษาไทยเพื่อแสดงถึงการบังคับหรือกำหนดให้ทำบางสิ่ง โดย “have to” ใช้กับบุคคลในกลุ่มที่หนึ่ง และ “has to” ใช้กับบุคคลในกลุ่มที่สาม นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น “had to” และ “will have to” และอื่น ๆ ตามที่บุคคลหรือเวลาที่เกี่ยวข้อง หากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานนี้ อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา
การใช้ Mustn’T
ภาษาอังกฤษมีคำว่า “mustn’t” หรือ “must not” ที่ใช้ในประโยคเพื่อแสดงถึงสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำตามกฎหมาย คำนี้มีความหมายเหมือนกับ “ห้าม” หรือ “ต้องไม่” ในภาษาไทย การเรียนรู้การใช้ “mustn’t” ในภาษาอังกฤษสามารถช่วยเพิ่มความรู้ในการสื่อสารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องและมีความสามารถในการใช้ภาษาที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อบทสนทนาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและใช้คำนี้ได้ถูกต้อง ข้อควรระวังในการใช้ “mustn’t” ในภาษาไทย และบางคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้คำนี้จะถูกกล่าวถึงในบทความนี้
การใช้ “mustn’t” ในภาษาอังกฤษมีวิธีการใช้หลายแบบเพื่อแสดงความห้ามหรือข้อจำกัดต่าง ๆ ต่อการกระทำหรือการดำเนินการที่อาจมีผลเสียหรือทำให้เกิดผลในรูปแบบที่ไม่พอดี เรามาดูตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจการใช้คำนี้ได้มากขึ้น:
1. You mustn’t smoke in this area. (คุณห้ามสูบบุหรี่ในบริเวณนี้)
2. You mustn’t drive without a license. (คุณต้องไม่ขับรถโดยปราศจากใบขับขี่)
3. Students mustn’t use smartphones during the exam. (นักเรียนต้องห้ามใช้สมาร์ทโฟนในระหว่างการสอบ)
4. Employees mustn’t disclose confidential information to anyone. (พนักงานต้องห้ามเปิดเผยข้อมูลลับให้กับผู้อื่น)
5. Visitors mustn’t enter the restricted area without permission. (ผู้เข้าชมต้องไม่เข้าสู่พื้นที่ที่ถูกจำกัดโดยไม่มีอนุญาต)
การใช้ “mustn’t” เป็นวิธีที่สามารถแสดงกฎหมายหรือข้อจำกัดทางอื่น ๆ ในรูปแบบที่ชัดเจนและมักใช้เพื่อให้คำสั่งหรือคำเตือนเข้าใจง่าย ทำให้ผู้ใช้ภาษาเข้าใจได้อย่างถูกต้องและนำมาปฏิบัติตาม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้ “mustn’t” ในภาษาไทย:
คำถาม 1: “Mustn’t” และ “shouldn’t” ต่างกันอย่างไร?
ตอบ: “Mustn’t” แสดงถึงการห้ามหรือข้อจำกัดเป็นกฎหมาย ในขณะที่ “shouldn’t” แสดงถึงข้อแนะนำที่ไม่ถึงเจตนาที่จะห้าม และควรปฏิบัติตามแต่ไม่เป็นกฎหมาย ตัวอย่างเช่น “You mustn’t smoke in this area” (คุณห้ามสูบบุหรี่ในบริเวณนี้) เป็นการห้ามทางกฎหมายในขณะที่ “You shouldn’t smoke in this area” (คุณควรไม่ควรสูบบุหรี่ในบริเวณนี้) แสดงถึงคำแนะนำที่ไม่จำเป็นยิ่งใหญ่ ในกรณีนี้คุณเข้าใจว่าการสูบบุหรี่อาจเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับสถานที่
คำถาม 2: ในกรณีไหนที่เราควรใช้ “mustn’t” แทน “don’t have to”?
ตอบ: “Mustn’t” และ “don’t have to” มีความแตกต่างอย่างมาก ถึงแม้ว่าทั้งสองคำนี้จะแสดงถึงข้อจำกัดในการกระทำ แต่ “mustn’t” หมายถึงการห้ามเป็นกฎหมายหรือข้อจำกัดที่ต้องปฏิบัติตาม ในขณะที่ “don’t have to” หมายถึงไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนั้น เป็นการแปลว่ากฎหมายหรือการสนับสนุนจากภาครัฐไม่กี่ครั้ง ดังนั้นเราควรปฏิบัติตามเหตุผลและชนิดของข้อจำกัดก่อนที่จะตัดสินใจใช้คำถูกต้อง
คำถาม 3: สามารถใช้คำนี้ในประโยคปฏิเสธได้หรือไม่?
ตอบ: ใช่ คุณสามารถใช้ “mustn’t” ในประโยคปฏิเสธได้ โดยเพียงแค่เพิ่ม “don’t” หรือ “doesn’t” ต่อหน้าคำนี้ เช่น “He mustn’t smoke in this area” (เขาห้ามสูบบุหรี่ในบริเวณนี้) หรือ “They mustn’t enter the restricted area” (พวกเขาห้ามเข้าสู่พื้นที่ที่ถูกจำกัด)
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นถึงการใช้ “mustn’t” ในภาษาไทย ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการแสดงข้อจำกัดหรือข้อห้ามเพื่อให้คำสั่งหรือคำเตือนที่มีความชัดเจนและยิ่งใหญ่แก่บุคคลที่พูดอย่างถูกต้องในชีวิตประจำวัน การเข้าใจและใช้คำนี้ได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารบนภาษาอังกฤษเป็นไปได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
มี 40 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ การใช้ must have to.
ลิงค์บทความ: การใช้ must have to.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ การใช้ must have to.
- วิธีใช้ Must กับ Have to ใช้ยังไงให้ถูกต้อง? – Speak Up Thailand
- Grammar: หลักการใช้ Must – Have to และ Mustn’t – Don’t have to
- การใช้ Must, Have to และ Should ต่างกันอย่างไร – Much English
- หลักการใช้ must กับ have to ใช้ต่างกันอย่างไร
- Must กับ Have to ต่างกันยังไง หายงงในโพสต์เดียว – OpenDurian
- หลักการใช้ Must กับ Have to – เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ Engcouncil
- เทคนิคการใช้ ‘Must’, ‘Have to’ และ ‘Should’ แยกใช้ในสถานการณ์ที่ …
- Must VS Have to “ต้อง” เหมือนกันแต่ใช้ต่างกัน
- หลักการใช้ must กับ have to ต่างกันยังไง – GrammarLearn
ดูเพิ่มเติม: lasbeautyvn.com/category/digital-studios