หลักการใช้ Tense
ในการศึกษาภาษาไทยหรือภาษาอื่น ๆ การเรียนรู้เกี่ยวกับ Tense เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เนื่องจาก Tense ช่วยให้เราสามารถแสดงเวลาของเหตุการณ์หรือประโยคได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้ผู้เรียนสื่อสารได้ในวัถุประสงค์ที่แม่นยำและเข้าใจง่าย
ความหมายของ Tense
Tense หมายถึง รูปแบบหรือการเปลี่ยนแปลงของคำกริยา (verb) เพื่อแสดงช่วงเวลาหรือเวลาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ถูกพูดถึง ในภาษาไทย Tense มีหนึ่งประเภทหลักคือ “ดำเนินการในอดีต” เนื่องจากภาษาไทยไม่มีเวลาเจ้าของ (future tense) อีกประเภท นอกจากนี้ยังมีอีกหลายรูปแบบเครื่องหมายเวลา ที่มักจะใช้ในประโยคภาษาไทย
ประเภทของ Tense
ในภาษาไทยมี Tense ทั้งหมด 12 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. อดีตกาล (past tense): ใช้เมื่อเราต้องการพูดถึงเหตุการณ์หรือประโยคที่เกิดขึ้นในอดีต
2. ปัจจุบันกาลบัญชา (present simple tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงความเป็นจริงหรือความเชื่อมั่นในปัจจุบัน
3. ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง (present continuous tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
4. ปัจจุบันกาลเต็มรูป (present perfect tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงการกระทำที่สำเร็จไปแล้วในอดีตที่มีผลกระทบในปัจจุบัน
5. ปัจจุบันกาลเต็มรูปต่อเนื่อง (present perfect continuous tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงการกระทำที่เริ่มต้นในอดีต และยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
6. กับดักกาล (future tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
7. อนาคตกาลเต็มรูป (future perfect tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงการกระทำที่จะสำเร็จในอนาคต
8. อนาคตกาลเต็มรูปต่อเนื่อง (future perfect continuous tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงการกระทำที่จะต้องสำเร็จในอนาคต และยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
9. กาลโจทก์ (imperative tense): ใช้เมื่อเราต้องการให้คำสั่งหรือเรียกให้ทำสิ่งต่าง ๆ
10. กาลสมบูรณ์ (continuous tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนด
11. กาลสมบูรณ์ลง (perfect tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ที่พูดถึง
12. กรุณา (conditional tense): ใช้เมื่อเราต้องการแสดงเงื่อนไขหรือการสมมุติว่าเหตุการณ์หรือสิ่งที่พูดถึงเป็นไปได้
กฎการใช้ Tense
ในการใช้ Tense ในภาษาไทย มีกฎหลักหลายประการที่ควรจำไว้เพื่อให้การใช้เหตุการณ์เฉพาะเวลาในประโยคเป็นไปอย่างถูกต้อง
1. ช่องว่างเวลา (Time Frame): ในแต่ละประโยค จำเป็นต้องมีช่องว่างเวลาที่ชัดเจน เพื่อระบุว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงช่วงเวลาใด
2. การเลือก Tense ที่ถูกต้อง: ควรจำเป็นต้องเลือกใช้ Tense ที่ตรงกับเหตุการณ์หรือความเป็นจริงที่ต้องการจะพูดถึง
3. การใช้คำกริยา (Verb): คำกริยาที่ใช้ใน Tense ต่าง ๆ ต้องเปลี่ยนแปลงตามกฎการใช้ Tense นั้น ๆ เช่น การเติม -ได้, -แล้ว, -แล้ว, -กำลัง หรือ -จะ และอื่น ๆ
4. การใช้ Tense ร่วมกับคำวิเศษณ์: ในบางกรณี เมื่อใช้ Tense บางประเภท เราอาจต้องเพิ่มคำวิเศษณ์ เพื่อเสริมความหมายให้ชัดเจนของประโยค
เวลาที่ใช้กับ Tense
ในภาษาไทย เวลาที่ใช้กับ Tense แต่ละประเภทมีลักษณะการใช้ที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. อดีตกาล (past tense): เวลาที่ใช้กับ Tense ชนิดนี้อาจเป็นเมื่อเช้า, เมื่อวาน, 2 เดือนที่แล้ว, เมื่อคืน, เมื่อปีที่แล้ว เป็นต้น
2. ปัจจุบันกาลบัญชา (present simple tense): เวลาที่ใช้กับ Tense แบบนี้เป็นเวลาที่เป็นประจำ เช่น เทอมนี้, ทุกวัน เป็นต้น
3. ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง (present continuous tense): เวลาที่ใช้กับ Tense นี้เป็นเวลาปัจจุบัน เช่น ตอนนี้, ขณะนี้, ตอนนี้ เป็นต้น
4. ปัจจุบันกาลเต็มรูป (present perfect tense): เวลาที่ใช้กับ Tense แบบนี้เป็นเวลาที่ไม่ระบุชัดเจน เช่น แล้วนี้, ตอนนี้ เป็นต้น
5. ปัจจุบันกาลเต็มรูปต่อเนื่อง (present perfect continuous tense): เวลาที่ใช้กับ Tense ชนิดนี้เป็นเวลาที่ไม่แน่นอน เช่น ตลอด, เสมอ, แทบจะเป็นต้น
6. กับดักกาล (future tense): เวลาที่ใช้กับ Tense ชนิดนี้อาจเป็นเมื่อวานซืน, 2 อาทิตย์หน้า, 3 ปีหน้า เป็นต้น
7. อนาคตกาลเต็มรูป (future perfect tense): เวลาที่ใช้กับ Tense แบบนี้เป็นเวลาที่รายละเอียด เช่น ในอนาคต หน้า เป็นต้น
8. อนาคตกาลเต็มรูปต่อเนื่อง (future perfect continuous tense): เวลาที่ใช้กับ Tense ชนิดนี้เป็นเวลาที่ใกล้เคียง เช่น ต้องไปในอนาคต เป็นต้น
9. กาลโจทก์ (imperative tense): เวลาที่ใช้กับ Tense แบบนี้ต้องสั่งหรือเรียกให้ทำอย่างตรงเวลา เช่น ทันทีทันใด, ทันทีแล้วไปเลย เป็นต้น
10. กาลสมบูรณ์ (continuous tense): เวลาที่ใช้กับ Tense รูปแบบนี้อาจเป็นตรงๆ เช่น วันๆ, เดือนๆ เป็นต้น
11. กาลสมบูรณ์ลง (perfect tense): เวลาที่ใช้กับ Tense แบบนี้สามารถกำหนดได้เอง เช่น ล่าสุด, สุดท้าย เป็นต้น
12. กรุณา (conditional tense): เวลาที่ใช้กับ Tense แบบนี้อาจเป็นตู่คู่, หลัง, ผ่านมา, ถ้า เป็นต้น
คำกริยาใน Tense
การใช้คำกริยา (verb) เป็นส่วนสำคัญของการใช้ Tense ในภาษาไทย ตัวอย่างของคำกริยาที่ใช้ในแต่ละ Tense ได้แก่
1. อดีตกาล (past tense): เดิน, ขึ้น, วิ่ง เป็นต้น
2. ปัจจุบันกาลบัญชา (present simple tense): เรียน, ชอบ, ดื่ม เป็นต้น
3. ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง (present continuous tense): อ่าน, นั่ง, น่อง เป็นต้น
4. ปัจจุบันกาลเต็มรูป (present perfect tense): เขียน, พา, แสดง เป็นต้น
5. ปัจจุบันกาลเต็มรูปต่อเนื่อง (present perfect continuous tense): พูด, บอก, โผล่ เป็นต้น
12 Tenses ครบในคลิปเดียว! | เรียน Grammar ภาษาอังกฤษฟรี กับครูดิว
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: หลักการใช้ tense tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด, โครงสร้าง Tense ทั้ง 12, สรุป tense เข้าใจง่าย, สรุปtense 12, หลักการใช้ tense 12 แสนจะง่าย ใครว่ายาก, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf, ตารางสรุป tense pdf, 12 tense มีอะไรบ้าง
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ หลักการใช้ tense
หมวดหมู่: Top 96 หลักการใช้ Tense
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด
ในภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ต้องรู้จักและเข้าใจทั้ง 12 Tense ที่มีให้ใช้ อย่างถูกต้อง นั่นเพราะการใช้ Tense ที่ถูกต้องจะช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างคงเส้นคงวาตลอดเวลา ดังนั้นในบทความนี้เราจะได้มาสำรวจและอธิบาย Tense แต่ละอันอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปใช้ให้ถูกต้องที่สุด
1. Present Simple Tense (Present Indefinite): ใช้ในกรณีที่เรากล่าวถึงสิ่งที่เป็น และเกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันหรือข้อความที่เป็นความจริงในอดีต ยกตัวอย่างเช่น “I eat breakfast every morning.” หรือ “Cats like milk.”
2. Present Continuous Tense (Present Progressive): ใช้ในกรณีที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นโดยชัดแจ้ง หรือกำลังดำเนินการปัจจุบันอยู่ หรือกำลังทำต่อจากรอบย้อนหลัง ยกตัวอย่างเช่น “He is reading a book now.” หรือ “I am studying for my exam tomorrow morning.”
3. Present Perfect Tense: ใช้เมื่อต้องการเชื่อมต่อการเกิดเหตุการณ์ในอดีตไปกับปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น “I have visited Paris twice.” หรือ “She has already eaten dinner.”
4. Present Perfect Continuous Tense: ใช้เมื่อต้องการเน้นเวลายาวนานที่กิจกรรมได้ดำเนินมาระยะหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น “He has been playing the guitar for two hours.” หรือ “They have been talking since this morning.”
5. Past Simple Tense (Past Indefinite): ใช้ในกรณีที่เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีผลต่อปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น “She watched a movie last night.” หรือ “We went to the beach yesterday.”
6. Past Continuous Tense (Past Progressive): ใช้ในกรณีที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีตอยู่ในขณะเดียวกันกับเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต ยกตัวอย่างเช่น “He was reading a book while I was cooking dinner.” หรือ “They were playing football when it started raining.”
7. Past Perfect Tense: ใช้ในกรณีที่ต้องเชื่อมต่อกิจกรรมในอดีตกับกิจกรรมต่อจากหลังนั้นให้ได้ตรงกัน ยกตัวอย่างเช่น “She had already eaten dinner when I arrived.” หรือ “He had finished his work before he went to bed.”
8. Past Perfect Continuous Tense: ใช้ในกรณีที่ต้องการเน้นเวลายาวนานที่กิจกรรมได้ดำเนินมาระยะหนึ่งในอดีต ยกตัวอย่างเช่น “I had been waiting for two hours when he finally arrived.” หรือ “They had been traveling for days before they reached their destination.”
9. Future Simple Tense (Simple Future): ใช้ในกรณีที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น “I will call you tomorrow.” หรือ “They will arrive in an hour.”
10. Future Continuous Tense (Future Progressive): ใช้ในกรณีที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะกำลังเกิดขึ้นในอนาคตในระหว่างอีกเหตุการณ์หนึ่งๆ ยกตัวอย่างเช่น “I will be working when you come over tomorrow.” หรือ “They will be studying while I am cooking dinner.”
11. Future Perfect Tense: ใช้เมื่อต้องการเชื่อมต่อกิจกรรมในอนาคตกับกิจกรรมต่อจากหลังนั้นให้เป็นความสมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น “She will have finished her exam by the time we arrive.” หรือ “I will have eaten by the time they come.”
12. Future Perfect Continuous Tense: ใช้ในกรณีที่ต้องการเน้นเวลายาวนานที่กิจกรรมได้คาดการณ์ว่าจะดำเนินมาถึงภายในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น “He will have been working for 10 hours by the time he finishes.” หรือ “They will have been waiting for an hour when the bus finally arrives.”
คำถามที่พบบ่อย (FAQs):
Q1: จำเป็นต้องจำ Tense ทั้ง 12 Tense ไว้ทั้งภาษาอังกฤษเพราะอะไร?
A1: การจำ Tense ทั้ง 12 อย่างจำเป็นต้องทำเพื่อให้สื่อสารได้อย่างถูกต้องและเข้าใจในภาษาอังกฤษ พวกเขาช่วยให้ความหมายของประโยคและเหตุการณ์เป็นที่คล้ายคลึงสภาพจริง
Q2: มีวิธีที่จำ Tense ทั้ง 12 Tense ได้ง่ายขึ้นหรือไม่?
A2: การจำ Tense ทั้ง 12 อย่างไม่ใช่เรื่องที่ยาก สามารถศึกษาและทำแบบฝึกหัดเพื่อเข้าใจและจำได้ง่ายขึ้น เช่น การฟังบทสนทนาในภาษาอังกฤษ การอ่านหนังสือ และการเขียนประโยคตัวอย่างเอง
Q3: อีกคำสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tense คืออะไร?
A3: คำสำคัญที่ควรรู้คือ Tense อาจเปลี่ยนแปลงในประโยคเพื่อแสดงช่วงเวลาและความหมายต่าง ๆ ดังนั้นการสนใจรายละเอียดและแนวคิดที่ชัดเจนคือสิ่งสำคัญในการใช้ Tense ให้ถูกต้อง
แต่ละ Tense มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นความเข้าใจและความชำนาญในการใช้ Tense ทั้ง 12 อย่างเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ อย่ารอช้าให้คุณต่อสู้ในการศึกษาและปรับปรุงทักษะในการใช้ Tense ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ในบทความนี้เราได้รวบรวมและอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ Tense ทั้ง 12 อย่างให้คุณทราบ คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการเรียนรู้และปรับปรุงภาษาอังกฤษของคุณได้ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมทำแบบฝึกหัดและปฏิบัติเพื่อเป็นคู่สนองกับความรู้ที่คุณได้รับจากบทความนี้
โครงสร้าง Tense ทั้ง 12
ในภาษาไทยมีระบบ Tense ทั้งหมด 12 รูปแบบ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการแสดงความเป็นเวลาของเหตุการณ์และกริยาในประโยค เรียนรู้และเข้าใจโครงสร้าง Tense เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถใช้ภาษาไทยเป็นอย่างถูกต้องและนำเสนอเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้อย่างชัดเจน ในบทความนี้ เราจะสำรวจโครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 ในภาษาไทย เพื่อให้คุณเข้าใจและใช้งานได้อย่างถูกต้อง
1. อดีต (Past)
อดีตเป็น Tense ที่ใช้ในการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต อดีตแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลักคือ อดีตกาลซึ่งใช้หลังข้อความแสดงการ์ดประธาน อดีตกาลหลังข้อความรู้จักแล้ว อดีตกาลคงที่และอดีตกาลความสมบูรณ์ โดยเราใช้คำกริยาที่เติมบอกเวลา เช่น ช่วง/สิ้นสุดด้วย -มาแล้ว/-ไปแล้ว เพื่อบ่งบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
ตัวอย่าง:
– เมื่อวันนี้ฉันไปอาบน้ำทะเล (อดีตกาลซึ่งใช้หลังข้อความแสดงการ์ดประธาน)
– ก่อนหน้านี้ฉันเคยอาบน้ำทะเล (อดีตกาลคงที่)
– วานนี้ฉันจะไปอาบน้ำทะเล (อนาคตที่ใช้แสดงการอนาคตที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีต)
2. ปัจจุบัน (Present)
ปัจจุบันเป็น Tense ที่ใช้ในการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลักคือ ปัจจุบันกาลประจำปี ปัจจุบันกาลนานาทัศนะ ปัจจุบันกาลความเกิดขึ้นเกี่ยวกับปัจจุบัน และปัจจุบันกาลความเกิดขึ้นขณะกำลังพูดหรือเขียน เราใช้คำกริยาในช่องของปัจจุบัน หรือเติมคำบ่งบอกเวลาปัจจุบัน เช่น กำลัง/ยัง/เพิ่ง เพื่อให้เห็นความเกี่ยวข้องกับเวลาปัจจุบันเป็นอย่างชัดเจน
ตัวอย่าง:
– เดือนหน้าเขาจะมาเยือน (ปัจจุบันกาลประจำปี)
– ฉันอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว (ปัจจุบันกาลนานาทัศนะ)
– ฉันรู้สึกดีในขณะนี้ (ปัจจุบันกาลความเกิดขึ้นเกี่ยวกับปัจจุบัน)
– ฉันพูดคุยกับเขาตอนนี้ (ปัจจุบันกาลความเกิดขึ้นขณะกำลังพูดหรือเขียน)
3. อนาคต (Future)
อนาคตเป็น Tense ที่ใช้ในการอธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อนาคตแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลักคือ อนาคตกาลซึ่งใช้หลังข้อความแสดงการ์ดประธาน อนาคตกาลหลังข้อความรู้จักแล้ว อนาคตกาลคงที่ และอนาคตกาลความสมบูรณ์ เราใช้คำกริยาเติมบอกเวลา เช่น ก่อนหน้านี้/ต่อไปนี้
ตัวอย่าง:
– เมื่อฉันผ่านมาเขาจะเคยเป็นโรงเรียนนี้ (อนาคตกาลซึ่งใช้หลังข้อความแสดงการ์ดประธาน)
– พรุ่งนี้เขาจะไปเที่ยวทะเล (อนาคตกาลคงที่)
– สิ้นเดือนนี้เขาจะซื้อรถใหม่ (อนาคตกาลรู้จักแล้ว)
– เราจะเจอกันอีกครั้งในอนาคต (อนาคตกาลความสมบูรณ์)
FAQ
1. Tense ในภาษาไทยมีกี่แบบ?
ในภาษาไทย Tense มีทั้งหมด 12 รูปแบบ คือ อดีตกาลซึ่งใช้หลังข้อความแสดงการ์ดประธาน อดีตกาลหลังข้อความรู้จักแล้ว อดีตกาลคงที่ อดีตกาลความสมบูรณ์ ปัจจุบันกาลประจำปี ปัจจุบันกาลนานาทัศนะ ปัจจุบันกาลความเกิดขึ้นเกี่ยวกับปัจจุบัน และ ปัจจุบันกาลความเกิดขึ้นขณะกำลังพูดหรือเขียน อนาคตกาลซึ่งใช้หลังข้อความแสดงการ์ดประธาน อนาคตกาลหลังข้อความรู้จักแล้ว อนาคตกาลคงที่ และอนาคตกาลความสมบูรณ์
2. ทำไมการใช้ Tense ถึงสำคัญ?
การใช้ Tense ถูกต้องในการสื่อสารภาษาทำให้ความหมายของประโยคเป็นไปตามที่ต้องการ โดยแสดงช่วงเวลาของเหตุการณ์ การใช้ Tense ให้ถูกต้องจะช่วยให้ผู้พูดหรือผู้เขียนสื่อสารได้ถูกต้องแม้ว่าความทรงจำของเหตุการณ์จะแตกต่างกันออกไป
3. อะไรคือคำบ่งบอกเวลา?
คำบ่งบอกเวลา หรือ Adverbs of Time เป็นคำที่ใช้เพื่อให้เห็นเวลาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในประโยค เช่น วันนี้/เมื่อวานนี้/อาทิตย์หน้า เป็นต้น คำบ่งบอกเวลาช่วยให้สื่อสารในเรื่องเวลาให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน
4. มีคำกริยาใดบ้างที่ใช้กับทุก Tense?
ในภาษาไทย คำกริยา “ไป” และ “มา” เป็นคำกริยาที่สามารถใช้กับทุก Tense ได้ เพราะมีความหมายที่แตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับ Tense ที่อยู่ในประโยค เช่น “เขาไปใช้งานไปแล้ว” (อดีต) และ “เขาจะไปใช้งาน” (อนาคต)
5. การใช้ Tense ในประโยคของภาษาไทยมีความซับซ้อนหรือยากไหม?
การใช้ Tense ในประโยคของภาษาไทยไม่มีความซับซ้อนอย่างมาก แต่ควรให้ความสำคัญกับการใช้คำกริยาที่ถูกต้องในแต่ละ Tense เพื่อให้ประโยคมีความรู้สึกที่ถูกต้องตามเวลาที่เกี่ยวข้อง
สรุป Tense เข้าใจง่าย
เมื่อพูดถึงภาษาไทย การใช้รูปเวลา (Tense) อาจเป็นหนึ่งในเรื่องที่สร้างความสับสนให้กับผู้เรียนได้จริง แต่ในบทความนี้เราจะพยายามจัดสรรเนื้อหาให้เข้าใจกันง่าย ทำไมถึงมี Tense เจาะจงอยู่ในภาษามาตั้งแต่เด็กๆ และแนวทางในการใช้งาน Tense ให้ถูกต้องภายใต้บริบทต่างๆ รวมถึงการใช้ข้อความประเภทต่างๆ
การอธิบาย Tense เข้าใจง่าย
เราสามารถอธิบาย Tense ในภาษาไทยได้เป็นอย่างง่าย ด้วยคำว่า “รูปเวลา” หรือ “รูปพูด” ซึ่งมันอ้างถึงช่วงเวลาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในภาษาไทยนั้น พวกเราจะใช้รูปเวลาในการสื่อสารเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเรียกปฏิสัมพันธ์ด้วยกันเอง
ก่อนอื่น เราจำเป็นต้องทราบถึงรูปเวลาหลักในภาษาไทยก็คือ คำกริยาเติม -ได้ และ -จะ โดยใช้งานสำหรับรูปเก่าและรูปหน้า รูปเก่ามักใช้เมื่อเราอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และ รูปหน้าจะใช้เมื่อเราอธิบายเหตุการณ์อนาคต โดยตัวอย่างนี้จะช่วยให้เข้าใจคือ
– เมื่อฉันเดินจากบ้านไปที่โรงเรียนเช้านี้ ฉันเดินหรือยัง?
– เมื่อเธอมาบ้าน เธอได้ทำการบ้านหรือยัง?
– เมื่อพ่อของฉันมา ฉันจะได้พบเขาหรือไม่?
การใช้งาน Tense ให้ถูกต้องในคำตอบของคำถามดังกล่าวคือ
– ฉันเดินจากบ้านไปที่โรงเรียนเช้านี้แล้ว
– เธอได้ทำการบ้านแล้ว
– ฉันจะได้พบเขาเมื่อพ่อของฉันมา
แต่เมื่อพูดถึง Tense เราจำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรูปเวลาแต่ละแบบ และอาจมีบทความที่เป็นประโยชน์ได้อ่านจากตัวอย่างด้านล่างเพื่อให้ความเข้าใจเพิ่มเติม
สรุปการเปลี่ยนแปลง Tense
1. การเปลี่ยนแปลง Tense จากปัจจุบันข้างหน้า (Present Simple) เช่น “ฉันทำงานทุกวัน” ให้อยู่ในอดีต (Past Simple) เช่น “ฉันทำงานทุกวันเมื่อวาน”
2. การเปลี่ยนแปลง Tense จากปัจจุบันข้างหน้า (Present Continuous) เช่น “ฉันกำลังทำงานอยู่” ให้อยู่ในอดีต (Past Continuous) เช่น “ฉันกำลังทำงานอยู่เมื่อวาน”
3. การเปลี่ยนแปลง Tense จากปัจจุบันข้างหน้า (Present Perfect) เช่น “ฉันได้ทำงานมานานแล้ว” ให้อยู่ในอดีต (Past Perfect) เช่น “ฉันได้ทำงานมานาน”
4. การเปลี่ยนแปลง Tense จากปัจจุบันข้างหน้า (Present Perfect Continuous) เช่น “ฉันมีการทำงานมานานแล้ว” ให้อยู่ในอดีต (Past Perfect Continuous) เช่น “ฉันมีการทำงานมานานแล้ว”
5. การเปลี่ยนแปลง Tense จากอดีต (Past Simple) เช่น “ฉันทำงานเมื่อวาน” ให้ใช้ Tense หลังจากอดีต (Present Perfect) เช่น “ฉันได้ทำงานเมื่อวาน”
6. การเปลี่ยนแปลง Tense จากอดีต (Past Continuous) เช่น “ฉันกำลังทำงานอยู่เมื่อวาน” ให้ใช้ Tense หลังจากอดีต (Present Perfect Continuous) เช่น “ฉันกำลังทำงานอยู่เมื่อวาน”
7. การเปลี่ยนแปลง Tense จากอดีต (Past Perfect) เช่น “ฉันได้ทำงานมานาน” ให้ใช้ Tense หลังจากอดีต (Present Perfect Continuous) เช่น “ฉันมีการทำงานมานานแล้ว”
FAQs สรุปการเปลี่ยนแปลง Tense
Q: เราทำไมถึงใช้ Tense ในภาษาไทย?
A: Tense เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ในการเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับโลกและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น การใช้ Tense จะช่วยให้เราเข้าใจได้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีตมาแล้ว หรือจะเกิดขึ้นในอนาคต
Q: สามารถนำ Tense มาใช้ในการเล่าเรื่องราวได้หรือไม่?
A: ใช่ได้เลย การเล่าเรื่องราวส่วนใหญ่จะใช้ Tense เพื่อเผยแพร่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และรูปภาพที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ต่างๆ
Q: มีกี่รูปเวลาในภาษาไทย?
A: ในภาษาไทยทั้งสิ้นมี 6 รูปเวลาหลักได้แก่: ปัจจุบันข้างหน้า (Present Simple), ปัจจุบันข้างหลัง (Present Continuous), ปัจจุบันเสร็จสิ้น (Present Perfect), ปัจจุบันเสร็จสิ้นและยังคงอยู่ (Present Perfect Continuous), อดีต (Past Simple), อดีตต่อเนื่อง (Past Continuous), อดีตเสร็จสิ้น (Past Perfect), อดีตเสร็จสิ้นและยังคงอยู่ (Past Perfect Continuous)
Q: ฉันควรทำอย่างไรในการใช้งาน Tense ให้ถูกต้อง?
A: การใช้งาน Tense ที่ถูกต้องขึ้นอยู่กับบริบทและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ควรทำความเข้าใจในประโยคที่ท่านกำลังพูดหรือเขียนว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในอดีตหรืออนาคตแล้ว
ท้วงอ้างอิง:
– การใช้งานเสร็จสิ้นและเสร็จสิ้นและยังคงอยู่ของ Tense ในภาษาไทย [ออนไลน์] สืบค้นจาก: https://www.educationcorner.co.uk/tenses-in-thai/
มี 48 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ หลักการใช้ tense.
ลิงค์บทความ: หลักการใช้ tense.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ หลักการใช้ tense.
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
- หลักการใช้ 12 Tense อย่างละเอียด พร้อมโครงสร้าง tense ที่สรุป …
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
- 12 tense ในภาษาอังกฤษ: โครงสร้าง หลักการใช้ และสัญญาณการรับรู้
- สรุป Tense ทั้ง 12 ใช้ยังไง โครงสร้างประโยคของแต่ละ … – Sanook
- Grammar: สรุปรวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด
- สรุป 12 Tenses ฉบับรวบรัด! จำง่าย! เข้าใจทันทีแม้ไม่มีพื้นฐาน
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- หลักการใช้ Tense 12 – สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
- ตัวอย่าง การใช้ Tense ภาษาอังกฤษง่ายๆ – BKKEnglish.com
ดูเพิ่มเติม: https://lasbeautyvn.com/category/digital-studios