เท็ น 12
1. Present Simple Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Present Simple Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่มีความเกิดขึ้นเป็นประจำ หรือเรื่องที่เป็นความจริง ตัวอย่างประโยค: “I go to work every day.”
2. Present Continuous Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Present Continuous Tense ใช้เมื่อกำลังมีการเกิดขึ้นขณะพูด หรือกำลังมีการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างประโยค: “She is studying for her exams.”
3. Present Perfect Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Present Perfect Tense ใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ในอดีตแต่เชื่อมโยงกับปัจจุบัน หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงจากอดีตไปยังปัจจุบัน ตัวอย่างประโยค: “They have traveled to many countries.”
4. Present Perfect Continuous Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Present Perfect Continuous Tense ใช้เมื่อมีเหตุกำเนิดเมื่อไม่นานมานี้และยังคงเกิดต่อเนื่องอยู่ ตัวอย่างประโยค: “We have been waiting for the bus for an hour.”
5. Past Simple Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Past Simple Tense ใช้เมื่อเราพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและเสร็จสิ้นไปแล้ว ตัวอย่างประโยค: “He visited his grandparents last weekend.”
6. Past Continuous Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Past Continuous Tense ใช้เมื่อกำลังมีเหตุการณ์กำเนิดขึ้นในอดีต หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงที่บังเอิญ ตัวอย่างประโยค: “They were watching a movie when I called them.”
7. Past Perfect Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Past Perfect Tense ใช้เมื่อก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต ส่วนใหญ่ใช้เพื่อบอกว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตัวอย่างประโยค: “She had already eaten dinner when he arrived.”
8. Past Perfect Continuous Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Past Perfect Continuous Tense ใช้เมื่อก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์กำเนิดขึ้นในอดีตและยังคงเกิดต่อเนื่องไปจนถึงเวลาหนึ่ง ตัวอย่างประโยค: “They had been playing tennis for two hours before it started raining.”
9. Future Simple Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Future Simple Tense ใช้เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตัวอย่างประโยค: “I will call you tomorrow.”
10. Future Continuous Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Future Continuous Tense ใช้เมื่อกำลังมีเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตลอดระยะเวลาหนึ่ง ตัวอย่างประโยค: “We will be having dinner at that time.”
11. Future Perfect Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Future Perfect Tense ใช้เมื่อก่อนหน้านี้จะมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตและเสร็จสิ้นก่อนเวลาหนึ่ง ตัวอย่างประโยค: “They will have finished their homework by the time you arrive.”
12. Future Perfect Continuous Tense (ประโยคสรุปและตัวอย่างประโยค)
Future Perfect Continuous Tense ใช้เมื่อก่อนหน้านี้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในอนาคตและยังคงเกิดต่อเนื่องไปจนถึงเวลาหนึ่ง ตัวอย่างประโยค: “She will have been dancing for three hours by the time the party ends.”
วันนี้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับ tense ทั้ง 12 และสามารถนำไปใช้ในการสื่อสารและเขียนประโยคสรุปเกี่ยวกับ tense อย่างถูกต้อง ต่อไปเราจะมาดูคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ tense ทั้ง 12
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ tense ทั้ง 12
1. Tense ทั้ง 12 คืออะไร?
Tense ทั้ง 12 เป็นรูปแบบของการใช้เวลาในการอธิบายเหตุการณ์หรือสถานการณ์ในภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น Present Simple, Past Continuous, Future Perfect เป็นต้น
2. มีเทคนิคใดบ้างในการเรียนรู้ tense ทั้ง 12?
เทคนิคที่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ tense ทั้ง 12 รวมถึงการอ่านและฟังเนื้อหาที่มีการใช้แต่ละ tense, การฝึกเขียนประโยคตามแบบที่ให้มา, การฟังและกลับมาตอบคำถามในแต่ละ tense เป็นต้น
3. ควรจะจัดทำรายงานเลือกสรรหาสถานะการเสียภาษีอย่างไร?
ในการจัดทำรายงานเลือกสรรหาสถานะการเสียภาษี ควรรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับภาษี รวมถึงการยื่นของบัญชีทางภาษีและการเตรียมเอกสารที่จำเป็น เพื่อให้มีความเป็นระเบียบและมีความเชื่อถือ
4. บทบาทของเท็กซ์เตรียมในการตรวจสอบภาษีเมื่อมีการตรวจสอบคืออะไร?
บทบาทของเท็กซ์เตรียมในการตรวจสอบภาษีเมื่อมีการตรวจสอบคือการเตรียมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษี เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบเป็นไปได้อย่างราบรื่นและถูกต้อง
5. วิธีป้องกันความเคลื่อนไหวของเท็กซ์เตรียมคืออะไร?
วิธีป้องกันความเคลื่อนไหวของเท็กซ์เตรียมคือการทำการตรวจสอบและสอบถามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับภาษีเพื้อให้มีความถูกต้องและครอบคลุม
6. เทคนิคในการปรับปรุงเท็กซ์เตรียมเพื่อลดการตรวจสอบคืออะไร?
เทคนิคในการปรับปรุงเท็กซ์เตรียมเพื่อลดการตรวจสอบคือการปรับปรุงกระบวนการเก็บรักษาข้อมูลภาษีให้มีความถูกต้อง และการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยในการเตรียมเอกสารอัตโนมัติ
7. การตรวจสอบต่อเนื่องเพื่อความน่าเชื่อถือในเท็กซ์เตรียมคืออะไร?
การตรวจสอบต่อเนื่องเพื่อความน่าเชื่อถือในเท็กซ์เตรียมหมายถึงการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษีในทุกๆ ปี เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ใช้เตรียมภาษีมีความถูกต้องแล
12 Tenses ครบในคลิปเดียว! | เรียน Grammar ภาษาอังกฤษฟรี กับครูดิว
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: เท็ น 12 tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด pdf, โครงสร้าง Tense ทั้ง 12, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด ppt, tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด, 12 tense ตัวอย่างประโยค, สรุปtense 12, tense 12 การใช้, ตัวอย่างประโยค คํา ถาม 12 tense
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ เท็ น 12
หมวดหมู่: Top 29 เท็ น 12
ดูเพิ่มเติมที่นี่: lasbeautyvn.com
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด Pdf
ในภาษาไทย มีรูปเวลาทั้งหมด 12 รูป แต่ละรูปแสดงถึงเหตุการณ์หรือเหตุผลในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตสั้น ๆ นับหนึ่ง อันให้เราครอบคลุมทุกกรณีที่เป็นไปได้ ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับแต่ละรูปเวลาที่ต้องการตระหนักถึง:
1. Present Simple (อนาคต+ปัจจุบัน): ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะยาว และคำบอกถึงความจริง โดยใช้คำกริยาช่องที่ 1 หรือแทนด้วยคำบอกกำกับ เช่น “เขาเรียนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียน” หรือ “วันศุกร์คือวันสุดสัปดาห์”
2. Present Continuous (ปัจจุบัน): ใช้เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน และบางครั้งก็ใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ในอนาคตที่ได้วางแผนไว้ก่อน โดยใช้คำกริยาช่องที่ 1 หรือแทนด้วยคำบอกกำกับ เช่น “ฉันกำลังทำงาน” หรือ “พรุ่งนี้ฉันจะไปทะเล”
3. Present Perfect (อนาคตที่สำคัญ): ใช้เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ประสบการณ์ในอดีตยังคงใช้งาน หรือส่งผลกระทบต่อปัจจุบัน เช่น “ฉันเคยไปเที่ยวเกาหลี” หรือ “เขามีประสบการณ์ในการทำงานหลายปี”
4. Present Perfect Continuous (อนาคตที่มีต้นเหตุ): ใช้เมื่อต้องการที่จะเน้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน หรือสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น “เขากำลังเรียนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว” หรือ “ฉันรู้สึกเมื่อยมากเป็นเวลาหลายวันแล้ว”
5. Past Simple (อดีต): ใช้เมื่อพูดถึงเหตุการณ์หรือกระทำที่เกิดขึ้นและจบไปในอดีต โดยใช้คำกริยาช่องที่ 2 เช่น “เขาเดินเข้ามาในห้อง” หรือ “เมื่อวานนี้ฉันได้ทานอาหารที่ร้านนั้น”
6. Past Continuous (เสร็จสิ้นในอดีต): ใช้เพื่อเล่าเรื่องราวในอดีต โดยเน้นการกระทำที่เกิดขึ้นก่อน และยังคงเป็นเช่นนั้นไปจนกว่าเหตุการณ์ใด ๆ จะเกิดขึ้น เช่น “ฉันเคยอ่านหนังสือก่อนที่เขาจะมา” หรือ “ผู้ชายคนนั้นกำลังขับรถและพูดโทรศัพท์พร้อมกัน”
7. Past Perfect (อดีตก่อน): ใช้เมื่อต้องการวางลำดับขั้นกระทำสองเหตุการณ์หรือทุกอย่างในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยเน้นเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นก่อน เช่น “ฉันไม่ได้รับเรื่องจากเขาที่วันที่เกิดเพราะเขาอยู่นอกเมือง” หรือ “ฉันเคยอาบน้ำในสระที่เขาเดินผ่านมาก่อนที่เขาจะออกไปเที่ยว”
8. Past Perfect Continuous (อดีตก่อนเป็นเวลานาน): ใช้เมื่อต้องการอธิบายกระบวนการที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และได้รุนแรงหรือยาวนาน เช่น “ฉันเคยเล่นกอล์ฟบ่อยและยี่สิบนาทีที่เกิดเหตุการณ์” หรือ “พวกเขากำลังเยือนกันมานานแล้วก่อนที่เราจะเข้ามา”
9. Future Simple (อนาคต): ใช้ภายในประโยคเมื่อต้องการพูดถึงอนาคตที่เร็ว ๆ นี้ โดยใช้คำกริยาช่องที่ 1 ร่วมกับคำกริยาช่องที่ 2 เช่น “ฉันจะไปที่นิวยอร์กในเดือนหน้า” หรือ “คุณมาเยือนฉันแล้ววันหลังจากนี้”
10. Future Continuous (อนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น): ใช้เพื่ออธิบายกระบวนการที่อนาคตกำลังจะเกิดขึ้น เช่น “ฉันจะอยู่ตรงนั้นตลอดทั้งเดือนรอสิ่งที่เกิดขึ้น” หรือ “พรุ่งนี้ฉันจะกำลังร้องเพลง”
11. Future Perfect (อนาคตที่จะสำเร็จ): ใช้เมื่อต้องการอธิบายกระบวนการที่จะเสร็จสิ้นและเสร็จสมบูรณ์ในอนาคต เช่น “ฉันจะได้ดูคอนเสิร์ตเหล่านี้ครบทั้งหมดเมื่อเขาเปิดตัวในสามปีข้างหน้า” หรือ “ฉันได้ทำเอกสิทธิ์ของฉันแล้วเมื่อฉันจบการศึกษา”
12. Future Perfect Continuous (อนาคตที่กำลังทำงานมานาน): ใช้ในกรณีที่ต้องการเน้นกระบวนการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีการทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น “ฉันจะเคยทำงานนี้มาเป็นระยะเวลาหลายๆ ปีเมื่อถึงวันที่เขาเปิดกิจการของเขา” หรือ “คุณจะได้ทำงานที่นี่มานานห้าปีก่อนที่คุณจะเปลี่ยนงานของสถานที่อื่น”
คำสำคัญที่อธิบายกระบวนการ – ทุกๆ รูปเวลามีรายละเอียดเฉพาะที่ไม่ควรละเลยคือคำกริยาช่องที่ 1 (Verb Base Form) หรือแทนด้วยคำบอกกำกับ การเข้าใจและการใช้รูปเวลาในภาษาไทยอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่เมื่อคุณทำความเข้าใจกับแต่ละรูปเวลา คุณจะสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามบทสนทนา
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. ทำไมรูปเวลาถึงมีมากถึง 12 รูป?
การใช้รูปเวลาหลาย ๆ รูปช่วยให้เราสามารถอธิบายเหตุการณ์และกระบวนการในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้อย่างถูกต้องและชัดเจน เป็นวิธีการป้องกันความสับสนในการสื่อสาร
2. รูปเวลาที่ใช้บ่อยที่สุดคือรูปใด?
Present Simple เป็นรูปเวลาที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาไทย โดยใช้เพื่อแสดงความจริงหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะยาว
3. การใช้รูปเวลาผิดอาจทำให้เกิดความสับสนหรือความเข้าใจผิดได้หรือไม่?
ใช่ การใช้รูปเวลาผิดอาจทำให้เกิดความสับสนหรือความเข้าใจผิดได้ เนื่องจากมีความสำคัญในการสื่อสารและการเข้าใจในภาษา
4. แนวทางใดที่จะช่วยให้เข้าใจและใช้รูปเวลาได้อย่างถูกต้อง?
การฝึกฝนและฝึกทำซ้ำเป็นแนวทางที่ดีในการเข้าใจและใช้งานรูปเวลาได้อย่างถูกต้อง เรียนรู้ตัวอย่างประโยคและแบบฝึกหัดจะช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจการใช้งานแต่ละรูปเวลาได้ดียิ่งขึ้น
โครงสร้าง Tense ทั้ง 12
ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระบบ Tense ที่เป็นที่นิยมและได้รับการใช้กันอย่างแพร่หลายในการแสดงเวลา เพื่อให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจหรือรับรู้ถึงการเกิดเหตุการณ์ของปรากฏการณ์ต่างๆในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต โครงสร้าง Tense ในภาษาไทยทั้ง 12 คืออะไร และเราจะใช้ต่างกันอย่างไร? บทความนี้จะได้เสนอข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้าง Tense ทั้ง 12 ในภาษาไทย เพื่อให้เข้าใจและใช้งานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
โครงสร้าง Tense ทั้ง 12 นี้จะมาจำแนกตามเวลา ซึ่งประกอบไปด้วยอดีต (Past) ปัจจุบัน (Present) และอนาคต (Future) โดยแต่ละเวลานี้จะแบ่งเป็นหลายรูปแบบเพื่อใช้ในกรณีต่างๆกัน
โครงสร้าง Tense ทั้ง 12 ดังนี้:
1. อดีตกาลงานทำและกาลพิเศษ (Past Simple / Past Perfect): ใช้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ในอดีตเสร็จสมบูรณ์แล้ว หรือเมื่อทำเรื่องเดียวและสิ้นสุดลง
2. ปัจจุบันกาลงานทำและกาลพิเศษ (Present Simple / Present Perfect): ใช้ในกรณีที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในปัจจุบันและยังไม่สิ้นสุดลง
3. อนาคตกาลงานทำและกาลพิเศษ (Future Simple / Future Perfect): ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหรือจะเสร็จสมบูรณ์ในอนาคต
4. อดีตกาลตามหาก (Past Continuous): ใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นเวลายาวนานหรือต่อเนื่องกัน
5. ปัจจุบันกาลตามหาก (Present Continuous): ใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ในปัจจุบันและเรื่องย่อยๆที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างการเกิดอยู่
6. อนาคตกาลตามหาก (Future Continuous): ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยจะมีระยะเวลาคงที่
7. อดีตกาลแน่นอนสำคัญและลักษณะ (Past Perfect Continuous): ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์อื่นๆในอดีต ซึ่งมีระยะเวลาคงที่
8. ปัจจุบันกาลแน่นอนสำคัญและลักษณะ (Present Perfect Continuous): ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าปัจจุบันและยังคงเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
9. อนาคตกาลแน่นอนสำคัญและลักษณะ (Future Perfect Continuous): ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งจะมีระยะเวลาคงที่
10. อดีตกาลเงื่อนไข (Past Unreal Conditional): ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์ที่ไม่เป็นความจริงในอดีต
11. ปัจจุบันกาลเงื่อนไข (Present Unreal Conditional): ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์ที่ไม่เป็นความจริงในปัจจุบัน
12. อนาคตกาลเงื่อนไข (Future Unreal Conditional): ใช้เมื่อต้องการแสดงเหตุการณ์ที่ไม่เป็นความจริงในอนาคต
เมื่อเราเข้าใจโครงสร้าง Tense ทั้ง 12 ในภาษาไทยแล้ว เราสามารถใช้ต่างกันได้อย่างถูกต้องเพื่อให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจถึงเวลาและช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กำลังพูดถึง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้เรื่องที่เราเล่าหรือแสดงออกได้อย่างคล่องตัวและไร้ความสับสน
FAQs:
Q: การใช้ Tense ในภาษาไทยยากหรือเข้าใจยากหรือไม่?
A: การใช้ Tense ในภาษาไทยไม่ยากและไม่เข้าใจยาก เนื่องจากมีรูปแบบที่เจาะจงและไม่ซับซ้อนมากเท่าภาษาอังกฤษ โดยใช้รูปฟิกขณะที่เราพูดถึงเวลาที่ต้องการ รูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้อย่างถูกต้องและคล่องตัว
Q: การใช้ Tense ทั้ง 12 นี้มีข้อไหนที่บ่งบอกถึงเวลาอย่างชัดเจน?
A: โดยทั่วไปแล้ว การใช้ Tense ทั้ง 12 ในภาษาไทยมีความชัดเจนในการบ่งบอกถึงเวลาของเหตุการณ์ โดยเฉพาะในคำตอบของวัดเวลาที่มีวันที่ วันเวลา ตอนเช้า หรือตอนเย็น เป็นต้น
Q: โครงสร้าง Tense ทั้ง 12 นี้จำเป็นต้องใช้ในการเรียนภาษาไทยเพียงใด?
A: การใช้ Tense ทั้ง 12 ภาษาไทยไม่จำเป็นต้องใช้เมื่อเริ่มเรียนรู้ภาษาไทย แต่สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ภาษาไทยในระดับที่สูงขึ้น เช่น สื่อการสอน ข่าวสาร เขียนบทความ หรือแปลเอกสาร การรู้เรื่องโครงสร้าง Tense ทั้ง 12 จะเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากจะช่วยให้การสื่อสารในภาษาไทยเป็นไปอย่างคล่องตัวและถูกต้อง
Tense ทั้ง 12 อย่างละเอียด Ppt
1. Present Simple Tense (กริยาช่องที่ 1)
Present Simple ใช้เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือสิ่งที่เป็นประจำ ในกรณีของใช้งานประจำนั้น มักมีรูปแบบดังนี้
– Affirmative: กริยาช่องที่ 1 + s/es หรือ กริยาช่องที่ 1 ที่ไม่มี s/es
He plays football every Saturday. (เขาเล่นฟุตบอลทุกวันเสาร์)
– Negative: do/does + not + กริยาช่องที่ 1
I do not eat meat. (ฉันไม่กินเนื้อ)
– Interrogative: do/does + กริยาช่องที่ 1
Do you like chocolate? (คุณชอบช็อกโกแลตหรือไม่)
– Interrogative negative: do/does + not + กริยาช่องที่ 1
Does he not speak English? (เขาพูดภาษาอังกฤษตามหรือไม่)
2. Present Continuous Tense (กริยาช่องที่ 2)
Present Continuous ใช้เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน การใช้งาน Tense นี้มักมีรูปแบบดังนี้
– Affirmative: am/is/are + กริยาช่องที่ 2 + ing
He is eating dinner right now. (เขากำลังกินข้าวเย็นอยู่)
– Negative: am/is/are + not + กริยาช่องที่ 2 + ing
They are not studying for the test. (พวกเขาไม่ได้เรียนเตรียมสอบ)
– Interrogative: am/is/are + กริยาช่องที่ 2 + ing
Are you listening to music? (คุณกำลังฟังเพลงอยู่หรือไม่)
– Interrogative negative: am/is/are + not + กริยาช่องที่ 2 + ing
Are they not playing basketball? (พวกเขาไม่ได้เล่นบาสเกตบอลหรือไม่)
3. Present Perfect Tense (กริยาช่องที่ 3)
Present Perfect ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่สัมพันธ์กับปัจจุบัน รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: have/has + กริยาช่องที่ 3
She has already finished her homework. (เธอเสร็จการบ้านของเธอแล้ว)
– Negative: have/has + not + กริยาช่องที่ 3
We have not seen each other for a long time. (เราไม่ได้เจอกันมานาน)
– Interrogative: have/has + กริยาช่องที่ 3
Have you visited any other countries? (คุณเคยไปเที่ยวประเทศอื่น ๆ มาก่อนหรือไม่)
– Interrogative negative: have/has + not + กริยาช่องที่ 3
Has she not lived here before? (เคยอยู่ที่นี่มาก่อนหรือไม่)
4. Present Perfect Continuous Tense (กริยาช่องที่ 4)
Present Perfect Continuous ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: have/has been + กริยาช่องที่ 2 + ing
They have been studying English for three hours. (พวกเขาเรียนภาษาอังกฤษมาสามชั่วโมงแล้ว)
– Negative: have/has not been + กริยาช่องที่ 2 + ing
I have not been working here for a long time. (ฉันไม่ได้ทำงานที่นี่มานาน)
– Interrogative: have/has been + กริยาช่องที่ 2 + ing
Have you been waiting for a long time? (คุณรอนานขนาดไหน)
– Interrogative negative: have/has not been + กริยาช่องที่ 2 + ing
Have they not been playing football for an hour? (พวกเขาได้ออกกำลังกายเล่นฟุตบอลมาแล้วหนึ่งชั่วโมงหรือไม่)
5. Past Simple Tense (กริยาช่องที่ 5)
Past Simple ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและหมดไป หรือเรื่องที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: กริยาช่องที่ 2/passived + กริยาช่องที่ 1
I watched a movie last night. (ฉันดูหนังคืนวาน)
– Negative: did + not + กริยาช่องที่ 1
She did not go shopping yesterday. (เธอไม่ได้ไปช็อปปิ้งเมื่อวาน)
– Interrogative: did + กริยาช่องที่ 1
Did they see the concert? (พวกเขาเห็นคอนเสิร์ตหรือไม่)
– Interrogative negative: did + not + กริยาช่องที่ 1
Did he not play the piano at the party? (เขาเล่นเปียโนที่งานเลี้ยงหรือไม่)
6. Past Continuous Tense (กริยาช่องที่ 6)
Past Continuous ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่กิดขึ้นในอดีตตลอดเวลาหรือระยะเวลาที่กำ รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: was/were + กริยาช่องที่ 2 + ing
She was studying all afternoon yesterday. (เธอเรียนตลอดวันเมื่อวานนี้)
– Negative: was/were + not + กริยาช่องที่ 2 + ing
They were not working last night. (พวกเขาไม่ได้ทำงานคืนนี้)
– Interrogative: was/were + กริยาช่องที่ 2 + ing
Were you playing basketball when it started raining? (คุณกำลังเล่นบาสเกตบอลเมื่อเริ่มฝนตกหรือไม่)
– Interrogative negative: was/were + not + กริยาช่องที่ 2 + ing
Were they not eating dinner when the power went out? (พวกเขาไม่ได้กินข้าวเย็นเมื่อไฟดับหรือไม่)
7. Past Perfect Tense (กริยาช่องที่ 7)
Past Perfect ใช้เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่กำเนิดก่อนดูแล้วในอดีต รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: had + กริยาช่องที่ 3
She had finished dinner before the guests arrived. (เธอเสร็จข้าวก่อนที่ผู้เข้าเยี่ยมมาถึง)
– Negative: had + not + กริยาช่องที่ 3
The train had not left when I arrived at the station. (รถไฟยังไม่ออกเมื่อฉันมาถึงสถานี)
– Interrogative: had + กริยาช่องที่ 3
Had you ever been to Paris before? (คุณเคยไปกรุงปารีสมาก่อนหรือไม่)
– Interrogative negative: had + not + กริยาช่องที่ 3
Had they not heard the news before I told them? (พวกเขาไม่ได้ยินข่าวก่อนที่ฉันจะบอกพวกเขาหรือไม่)
8. Past Perfect Continuous Tense (กริยาช่องที่ 8)
Past Perfect Continuous ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะเวลา รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: had + been + กริยาช่องที่ 2 + ing
They had been playing football for two hours before it started raining. (พวกเขาเล่นฟุตบอลมาสองชั่วโมงถึงเมื่อเริ่มฝนตก)
– Negative: had + not + been + กริยาช่องที่ 2 + ing
She had not been studying for the test before she got sick. (เธอไม่ได้เรียนเตรียมสอบก่อนที่เธอจะป่วย)
– Interrogative: had + been + กริยาช่องที่ 2 + ing
Had they been waiting for a long time before you arrived? (พวกเขารอนานขนาดไหนก่อนที่คุณจะมาถึง)
– Interrogative negative: had + not + been + กริยาช่องที่ 2 + ing
Had she not been cooking when the electricity went out? (เธอไม่ได้ทำอาหารเมื่อไฟดับหรือไม่)
9. Future Simple Tense (กริยาช่องที่ 9)
Future Simple ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: will/shall + กริยาช่องที่ 1
They will arrive at the airport at 8 PM. (พวกเขาจะมาถึงสนามบินเวลา 20:00 น.)
– Negative: will/shall + not + กริยาช่องที่ 1
I will not forget your birthday. (ฉันจะไม่ลืมวันเกิดของคุณ)
– Interrogative: will/shall + กริยาช่องที่ 1
Will you come to the party tomorrow? (คุณจะมางานเลี้ยงพรุ่งนี้หรือไม่)
– Interrogative negative: will/shall + not + กริยาช่องที่ 1
Will they not see each other again? (พวกเขาจะไม่ได้เจอกันอีกใช่ไหม)
10. Future Continuous Tense (กริยาช่องที่ 10)
Future Continuous ใช้เพื่อบอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในระหว่างเวลาที่กำลังเกิดขึ้น รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: will/shall + be + กริยาช่องที่ 2 + ing
He will be working when you arrive. (เขาจะกำลังทำงานเมื่อคุณมาถึง)
– Negative: will/shall + not + be + กริยาช่องที่ 2 + ing
They will not be sleeping at that time. (พวกเขาจะไม่ได้นอนเวลานั้น)
– Interrogative: will/shall + be + กริยาช่องที่ 2 + ing
Will you be waiting for me? (คุณจะรอฉันใช่ไหม)
– Interrogative negative: will/shall + not + be + กริยาช่องที่ 2 + ing
Will they not be studying for the exam tomorrow? (พวกเขาจะไม่ได้เรียนเตรียมสอบใช่ไหม)
11. Future Perfect Tense (กริยาช่องที่ 11)
Future Perfect ใช้เพื่อบอกถึงสิ้นสุดของเหตุการณ์ในอนาคต รูปแบบการใช้งาน:
– Affirmative: will/shall + have + กริยาช่องที่ 3
I will have finished my report by tomorrow. (ฉันจะเสร็จข้อรายงา
พบ 43 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ เท็ น 12.
ลิงค์บทความ: เท็ น 12.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ เท็ น 12.
- 12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร – Twinkl
- สรุป Tense ทั้ง 12 ใช้ยังไง โครงสร้างประโยคของแต่ละ … – Sanook
- รวมหลักการใช้ 12 Tense แบบละเอียด ครบ จบ ในที่เดียว – Globish
- สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย
- หลักการใช้ 12 Tense อย่างละเอียด พร้อมโครงสร้าง tense ที่สรุป …
ดูเพิ่มเติม: lasbeautyvn.com/category/digital-studios